วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เกิดมาทำไม

โดย พาสเตอร์ ริค วอเรน
ทำไม เราจึงเกิดมาบนโลกใบนี้? คำถามที่สำคัญนี้ฉันเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากรู้คำตอบแน่นอน แม้ว่าท่านจะเชื่อว่ามีพระผู้สร้างหรือไม่ หรือท่านอาจเชื่อว่าเงินคือพระเจ้า หรือตัวท่านเองคือพระเจ้าผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง
พาสเตอร์ริคได้ตอบว่า ชีวิตอาจเปรียบเหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มบางอย่างอยู่ ชีวิตคือการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเป็นอมตะ ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่ให้อยู่คงทนชั่วนิรันดร์ พระเจ้าต้องการให้เราไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ วันหนึ่งหัวใจของฉันจะหยุดเต้น และเมื่อนั้นก็หมายความว่ามันเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้ของฉัน แต่นั่นไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตของฉัน
ฉันอาจมีชีวิตแค่ 60 ปี หรือ ยืนยาวไปถึง 100 ปี บนโลกใบนี้, แต่ฉันจะต้องไปใช้ชีวิตเป็นแสนล้านปีในอาณาจักรอันนิรันดร์ที่พระเจ้ากำหนด ชีวิตบนโลกใบนี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่อง เหมือนกับการลองสวมเสื้อผ้าเท่านั้น พระเจ้ามีความประสงค์ให้เราลองฝึกฝนตัวเองบนโลกใบนี้ก่อนที่เราจะได้รับอนุญาตให้ไปมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ในอีกภพหนึ่ง
ชีวิตของเราถูกสร้างโดยพระเจ้า เพื่อพระเจ้า จนกว่าเราจะเข้าใจสิ่งนี้ก่อน เราจึงจะสามารถจินตนาการให้เข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ชีวิตคือการเผชิญปัญหาที่เป็นขั้นตอนต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะประสบกับปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเพิ่งจะผ่านพ้นอุปสรรค์อย่างหนึ่ง คุณยังจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาอีกอย่างหนึ่งอีก ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าสนใจสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณมากกว่าเพียงความสุขสบายส่วนตัวของคุณ, พระเจ้าสนใจที่จะพยายามขัดเกลาชีวิตของคุณให้บริสุทธิ์ มากกว่าทำให้ชีวิตของคุณมีแค่ความสบายและมีความสุข
เราบางคนอาจมีเหตุผลที่ดีในการมีชีวิตที่มีความสุขบนโลกนี้, แต่สิ่งนี้ไม่ใช้เป้าหมายของชีวิตนะ, เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคือสร้างสรรค์คุณลักษณะอุปนิสัยแบบพระคริสต์ต่างหากล่ะในปีที่ผ่านไปรู้สึกว่าเป็นปีที่ดูยิ่งใหญ่สำหรับฉัน แต่ก็เป็นปีที่ยากลำบากมากด้วย, เพราะภรรยาของฉันคุณ เคย์ ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ฉันเคยคิดว่าชีวิตเป็นเหมือนกับการขึ้นเขาลงห้วยลุ่มๆ ดอนๆ + เราอาจมีเวลาแห่งชีวิตเหมือนอยู่ในความมืดมิด, ต่อมาชีวิตมันดูเหมือนอยู่บนที่สูงสุดของภูผา, ไปๆ มาๆ, ฉันไม่เชื่อย่างนี้อีกแล้วล่ะ
ชีวิตเป็นมากกว่าการขึ้นเขาลงห้วยนะ, ฉันเชื่อว่าชีวิตน่าจะเป็นเหมือนรางรถไฟคู่, ในทุกขณะของชีวิตคุณจะต้องพบทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีในชีวิต ไม่ว่าสิ่งดีในชีวิตจะทำให้คุณเป็นสุขมากเพียงใด, ชีวิตก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่เรื่อยไปและไม่ว่าสิ่งเลวๆ ในชีวิตจะเป็นอย่างไร, ชีวิตก็ยังมีสิ่งที่ดีๆ ให้เราขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกว่าจะเล็งเป้าหมายของชีวิตไปทางไหน, เป้าหมายเพื่อจุดประสงค์ของชีวิตหรือวางเป้าหมายไปที่ปัญหาชีวิต
ถ้าหากคุณมุ่งความสนใจไปที่ปัญหา, ก็หมายความว่าคุณกำลังมุ่งเข้าสู่ชีวิตที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเอง, ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราอาจเรียกมันว่า ปัญหาของฉัน เรื่องยุ่งๆ ของฉัน ความเจ็บปวดของฉันแต่วิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะขจัดความเจ็บปวดออกจากชีวิตของคุณ ก็คือการเล็งเป้าหมายชีวิตไปที่พระเจ้าและคนอื่นๆ มากกว่า
เราได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า ทั้งๆ ที่มีคนเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นๆ คนช่วยกันอธิษฐานเผื่อความเจ็บป่วยของเคย์ภรรยาของฉัน คือขอให้เขาหายป่วยจากการเป็นมะเร็งร้าย แต่พระเจ้าไม่รักษาเคย์ หรือทำให้เคย์มีชีวิตที่สบายขึ้น สิ่งนี้มันเป็นเรื่องลำบากสำหรับเคย์มาก, แต่ด้วยเหตุแห่งความเจ็บป่วยนี้พระเจ้าได้เสริมกำลังให้เคย์มีอุปนิสัยที่เข้มแข็งขึ้น, พระองค์ได้ประทานพันธกิจแห่งการเยียวยาผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นๆ, พระเจ้าได้ประทานคำพยานที่เธอจะสามารถเล่าถึงพระคุณของพระเจ้าในความเจ็บป่วยของเธอ พระเจ้าได้ฉุดดึงเคย์ให้เข้าไปใกล้พระองค์และคนอื่นๆ มากขึ้น
แท้ที่จริงชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะจัดการกับเรื่องที่ดีและเรื่องที่เลวร้ายในชีวิตไปพร้อมๆ กันจริงๆ แล้วบางทีการเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งดีในชีวิตมันยากกว่านะ ยกตัวอย่างนะ ในปีที่ผ่านไปเพียงระยะเวลาไม่นาน หนังสือที่ฉันแต่งขึ้นได้ขายออกไปถึง 15 ล้านเล่ม มันทำให้ฉันร่ำรวยขึ้นผิดหูผิดตาอย่างรวดเร็วมาก แต่มันก็ทำให้ฉันมีชื่อเสียงมากมายจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ฉันไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะประทานความมั่งคั่งกับชื่อเสียงที่โด่งดังเพื่อตอบสนองความอยากส่วนตัวของเรา หรือเพียงเพื่อให้ชีวิตของเราเป็นอยู่อย่างสุขสบายเท่านั้น
ดังนั้นฉันจึงเริ่มถามพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการให้ฉันทำอย่างไรกับความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และอิทธิพล พระเจ้าประทานถ้อยคำสองตอนจากพระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 9 และพระธรรมสดุดี ของพระองค์ที่ช่วยให้ฉันตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
ประการแรก, ทั้งๆ ที่เงินมากมายกำลังไหลเข้ามาในกระเป๋า, เราจะไม่เปลี่ยนวิถีแห่งการดำเนินชีวิตสักนิดเดียว, เราไม่ได้ซื้อข้าวของอะไรที่แพงๆ
ประการที่สอง, ประมาณกลางปีที่แล้ว, ฉันได้หยุดรับเงินเดือนค่าตอบแทนจากการเป็นทำงานจากคริสตจักรที่ฉันดูแลอยู่
ประการที่สาม, เราได้ตั้งกองทุนเพื่อการเริ่มต้นปลูกสร้างคริสตจักรที่เราเรียกว่า “โครงการปลูกสร้างคริสตจักร, เตรียมผู้นำ, ช่วยเหลือคนยากไร้, กองทุนสำหรับคนเจ็บป่วย, และการให้การศึกษาสำหรับคนรุ่นต่อไป
ประการที่สี่, ฉันได้คำนวณว่าตลอดเวลาที่ฉันได้ทำงานให้คริสตจักรเป็นเวลาถึง 24 ปี คริสตจักรได้จ่ายค่าตอบแทนให้กับฉันเป็นเงินเท่าไหร่ ฉันได้จ่ายคืนเท่ากับจำนวนเงินทั้งหมดที่คริสตจักรได้จ่ายให้ฉัน
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกปลดปล่อยว่า ฉันได้รับใช้พระเจ้าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน คือการรับใช้ฟรีๆ มีคำถามที่เราต้องถามตนเอง: ฉันกำลังมีชีวิตอยู่เพื่อการครอบครองหรือ? เพื่อเป็นที่นิยมชมชอบหรือ?ชีวิตของเรากำลังถูกกระตุ้นด้วยแรงกดดันต่างๆ บางอย่าง เช่น ความรู้สึกโทษตัวเอง, ความขมขื่น ความอยากได้อยากมีในทรัพย์สิ่งของ, หรือว่า... ชีวิตของเราน่าจะถูกพลักดันโดยพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตเรา
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า, ฉันนั่งอธิษฐานที่ข้างเตียงว่า พระเจ้า, หากวันนี้ไม่สามารถทำความสำเร็จใดๆ ลูกอยากรู้จักพระองค์และรักพระองค์มากขึ้นเก่าเดิม “พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์เพียงเพื่อให้ฉันมาทำสิ่งในสิ่งที่เป็นแค่รายการที่ต้องทำประจำวันเท่านั้น” "พระองค์สนใจในสิ่งที่ฉันเป็นมากกว่าสิ่งที่ฉันทำ" นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเรียกคนว่า มนุษย์ผู้เป็นอยู่, ไม่ใช่ มนุษย์ผู้กำลังทำงาน
เมื่อมีสุข จงสรรเสริญพระเจ้า, เมื่อประสบความลำบาก จงแสวงหาพระเจ้าในยามเงียบสงบ, จงนมัสการพระเจ้าเมื่อยามเจ็บปวด, ในทุกๆ ขณะของชีวิต จงขอบพระคุณพระเจ้าจงวางใจพระเจ้า,

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น