วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำสั่งเสีย

จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์มหาราช
มหาบุรุษทุกคนมีความปรารถนาของตัวเองและทุกคนอยากให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง
แม้ยังไม่สมปรารถนาขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
มหาบุรุษทั้งหลายก็อยากจะเห็นความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง แม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น มหาบุรุษแต่ละคนจึงมีคำสั่งเสียถึงคนที่อยู่ข้างหลังแตกต่างกันไป

ฟาโรห์ กษัตริย์อียิปต์เชื่อว่า หลังจากตายไปแล้ว วิญญาณของเขาจะกลับมามีชีวิตใหม่ในร่างเดิมอีก
และเขาปรารถนาที่จะกลับมาเสวยสุขในโลกนี้ ดังนั้น
เขาจึงสะสมทรัพย์สินไว้มากมายและสั่งเสียคนของเขาให้เก็บทรัพย์สินและรักษาศพของเขาไว้ในสภาพของมัมมี่

แต่จนทุกวันนี้ วิญญาณของเขาก็ยังไม่กลับมาสู่ร่างเดิม
มิหนำซ้ำทรัพย์สมบัติและมัมมี่ของเขาซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้พีระมิดยังถูกค้นพบและถูกนำมาตั้งแสดงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของโลก

หลังสมัยฟาโรห์ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โลกก็มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขา
โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์ เพราะเขาเป็นผู้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลกยุคโบราณ

แม้จะเป็นผู้พิชิตดินแดนได้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ในบั้นปลายของชีวิต
เขาก็ถูกโรคภัยไข้เจ็บพิชิตสังขารจนต้องนอนราบคาบอยู่บนเตียงนับเดือน
เมื่อความตายย่างกรายเข้ามา
เขารู้ว่าแสนยานุภาพของกองทหารที่เขาสร้างไว้ไม่สามารถขัดขวางทูตมรณะที่จะมากระชากวิญญาณออกไปจากร่างของเขาได้

อาจเป็นเพราะกาลเวลาหรือวุฒิภาวะก็ได้ที่ทำให้จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตมากกว่าฟาโรห์
เขาเรียกเสนาบดีและขุนศึกคู่ใจทั้งหลายมาพบและสั่งเสียคนเหล่านั้นให้ทำตามความปรารถนาของเขาสามประการ
ดังนี้

-ขอให้แพทย์ผู้รักษาเขาเป็นผู้แบกแคร่หามศพของเขา

-ขณะที่แบกศพของเขาไปยังสุสาน ขอให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง
และอัญมณีต่างๆที่เขาสะสมไว้ตลอดทาง

-ขอให้ปล่อยมือสองข้างของเขาห้อยไว้ข้างแคร่หามศพ

ขุนศึกคู่ใจของเขาคุกเข่าลงและดึงมือของเขามาจุมพิตด้วยความเศร้าใจอย่างสุดซึ้งพร้อมกับรับปากว่า
จะทำตามที่เขาสั่งเสียไว้ทุกประการ แต่ขุนศึกผู้นั้นถามจักรพรรดิด้วยความอยากรู้ว่า
มีเหตุผลอะไรที่สั่งเสียให้ทำเช่นนั้น

จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเหตุผลให้ขุนศึกและเสนาบดีที่อยู่รอบข้างได้รู้ถึงความปรารถนาของเขาว่า

“ที่ฉันต้องการให้แพทย์ผู้รักษาฉันเป็นผู้แบกโลงศพของฉัน ก็เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายตระหนักว่า
ไม่มีหมอคนใดสามารถรักษาคนป่วยได้จริง
พวกหมอเหล่านั้นไม่มีพลังอำนาจใดๆที่จะยื้อชีวิตคนไข้ให้พ้นจากความตายได้ ฉะนั้น
ขออย่ายื้อชีวิตของใครให้คงอยู่ตลอดไปเลย

“เรื่องที่ฉันอยากให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง
และอัญมณีบนเส้นทางไปสู่สุสานก็เพื่อจะบอกผู้คนทั้งหลายว่า...แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของแก้วแหวนเงินทองซึ่งฉันหามาได้
ฉันก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้

“ที่ฉันขอให้ปล่อยมือทั้งสองข้างของฉันห้อยไว้ข้างแคร่
ก็เพื่อบอกให้ผู้คนได้รู้ว่าฉันมามือเปล่ายังโลกนี้และฉันก็จากโลกนี้ไปอย่างมือเปล่า”

(ตัดตอนมาจาก คอลัมภ์สันติธรรม จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้วันสุขปีที่ 7 ฉบับที่ 315 ประจำวัน
จันทร์ ที่ 20 มิถุนายน 2011
โดย บรรจง บินกาซัน)

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

หลักการ 90/10

โดย: สตีเฟน โควีย์ (Stephen Covey)


การค้นพบหลักการ 90/10มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณให้ดีขึ้น
(หรืออย่างน้อยที่สุด จะเปลี่ยนวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์บางอย่าง)

หลักการนี้คืออะไร ?

เป็นเรื่องง่ายๆคือ 10% ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ.ส่วนอีก 90% ที่เหลือนั้นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของคุณ ในการตอบสนองกริยานั้น

ประเด็นของเรื่องนี้คือ?

มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอยู่เหนือความคาดหมายของเราเพียง 10% เท่านั้น เช่น

- เราไม่สามารถที่จะห้ามรถยนต์ไม่ให้เสียกลางถนนได้.

- เราไม่สามารถรู้ได้ว่า เครื่องบินจะมาช้ากว่ากำหนด จนทำให้กำหนดการของเราคลาดเคลื่อนไป.

- เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ในขณะที่เราขับรถถูกช่องจราจร อาจจะมีรถคันอื่นขับปาดหน้าเรา.


เราไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ 10 % นี้ที่เกิดกับเราแต่อีก 90 % ที่เหลือนั้นเราสามารถกำหนดได้

ทำอย่างไร?... “ โดยการตอบสนองของคุณ ”

คุณไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ.

แต่คุณสามารถควบคุมปฏิกิริยาของคุณต่อเหตุการณ์เหล่านั้น.

คุณสามารถเลือกวิธีการตอบสนองได้ .

ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้…

สมมติว่า ขณะที่กำลังกินข้าวเช้ากับครอบครัว.ลูกสาวของคุณ ทำกาแฟหก รดเสื้อของคุณ
เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุที่ควบคุมไม่ได้.แต่สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นอยู่กับการกระทำต่อไปของคุณ
คุณอาจจะโกรธ.หลังจากนั้น คุณก็ดุด่า ว่ากล่าวลูกสาวคุณอย่างรุนแรง.จนกระทั่งลูกสาวของคุณ ร้องไห้.....
หลังจากที่ดุลูกสาวเสร็จ คุณก็หันไปต่อว่าภรรยา ที่วางถ้วยกาแฟ ใกล้ขอบโต๊ะมากไปเหตุการณ์ต่อมาที่เกิด คือ มีการโต้เถียงกันระหว่างคุณกับ ภรรยาคุณเดินปึงปังขึ้นไปข้างบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อข้างบน เมื่อกลับลงมาข้างล่าง ลูกสาวคุณยังร้องไห้....ไม่หยุด และ ยังไม่ได้กินอาหารเช้า จึงทำให้ไปรถโรงเรียนไม่ทัน ภรรยาของคุณ เธอก็ต้องรีบไปทำงานทันที คุณจึงต้องรีบขับรถไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน เนื่องจากคุณสาย คุณต้องขับรถเร็วกว่าที่กฏหมายกำหนด สิ่งที่ตามมาคือ คุณโดนตำรวจเรียก เพื่อจ่ายค่าปรับ
เมื่อรถถึงโรงเรียน ลูกสาวคุณก็ต้องรีบไปโรงเรียนโดยไม่ได้ร่ำลา ส่วนตัวคุณเองก็ไปถึงที่ทำงานสาย 20 นาที และยิ่งไปกว่านั้น คุณดันลืมเอากระเป๋าทำงานไว้ที่บ้าน !!!!

เป็นยังไงบ้าง?????วันนี้ทั้งวันดูเป็นวันที่เลวร้าย สถานการณ์มันแย่ลงเรื่อยๆ จนทำให้คุณรู้สึกอยากกลับบ้าน................แต่...เมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน คุณรู้สึกได้ถึงความหมางเมินจากลูกสาวและภรรยาของคุณ

ทำไม ? สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะการตอบสนองของคุณตอนเช้า.

อะไรเป็นสาเหตุของวันที่เลวร้ายวันนี้?

ก) เป็นเพราะกาแฟหก

ข) เป็นเพราะลูกสาวคุณทำกาแฟหก?

ค) เป็นเพราะคุณโดนตำรวจจับ?

ง) เป็นเพราะคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด?

คำตอบคือข้อ “ ง ”
การที่กาแฟหก คุณไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปฏิกิริยาภายใน 5 วินาที ที่คุณกำลังจะทำหลังจากกาแฟหกใส่ คุณสามารถควบคุมได้ เหตุการณ์นี้ คือ สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นหลังจากกาแฟหกรดตัวคุณ...กาแฟหกรดตัวคุณ ลูกสาวคุณร้องไห้ คุณเข้าไปปลอบลูกสาวคุณ
“ พ่อไม่เป็นไรนะลูก ต่อไปลูก ระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน ”หลังจากนั้น คุณหยิบผ้าเช็ดตัว และเปลี่ยน เสื้อของคุณ
คุณหยิบกระเป๋าทำงาน และเมื่อคุณลงมาก็พบว่า ลูกสาวคุณ เธอกำลังจะขึ้นรถไปโรงเรียน.....
เธอหันมาโบกมือให้.. ตัวคุณเองถึงที่ทำงาน ก่อนเวลา 5 นาที คุณยังมีเวลาคุยเล่นกับเพื่อนร่วมงานอีก......
อะไรที่แตกต่าง? ทั้ง 2 สถานการณ์. เริ่มต้นเหมือนกัน แต่จบไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง


เพราะอะไร? เพราะการตอบสนองของคุณเอง ถึงแม้ว่าคุณควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 10% ของชีวิตคุณไม่ได้
แต่ 90 % ที่เหลือคุณควบคุมได้...ใช่หรือไม่? และนี่คือวิธีการประยุกต์ใช้ หลักการ 90/10 นี้.
ถ้ามีใครกล่าวร้ายต่อคุณอย่าไปสนใจมัน ให้ทำตัว เหมือนน้ำบนแผ่นแก้ว อย่าให้คำว่าร้ายต่างๆมาทำร้ายคุณได้
การตอบสนองที่เหมาะสมจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายคุณ การตอบสนองที่ผิดพลาด เป็นสาเหตุให้คุณเสียเพื่อน
ถูกไล่ออกจากงาน หรือเกิดความเครียดได้ คุณทำตัวยังไงเมื่อโดนรถคันอื่นปาดหน้า? คุณอาจจะอารมณ์เสีย และด่าว่า โวยวาย!จนกระทั่งทุบพวงมาลัย (เพื่อน เคยทุบจนพวงมาลัยหลุด)คุณอาจจะอารมณ์เสียจนกระทั่งความดันขึ้น
บางคนอาจจะขับรถไปจี้ คันที่ทำให้คุณเกิดปัญหา คุณคิดไปว่า ไม่มีใครสนใจหรอกว่า คุณจะไปสาย ประมาณ 10 นาที
นึกถึงหลักการ 90/10 อย่าไปสนใจรถคันนั้น คุณอาจถูกให้ออกจากงาน เหตุการณ์นี้ทำให้ต้องเครียด และคิดมาก
มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ดีกว่าไหมถ้าเอาเวลานั้นมาคิดค้นหาแนวทางแก้ปัญหางานใหม่ๆออกมา
เครื่องบินมาช้ากว่าที่กำหนด ซึ่งส่งผลกระทบกับตารางงานของคุณ ทำไม คุณต้องไปหงุดหงิดกับพนักงานต้อนรับ
เค้าไม่สามารถ ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คุณอาจใช้เวลานี้ ทำความรู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นแทนที่จะมัวเครียด!
ซึ่งมีแต่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆมันแย่ลง …น่าจะดีกว่ามั๊ย....
ตอนนี้คุณรู้จัก หลักการ 90/10
ปรับหลักการนี้ เอาไปใช้ และคุณจะพบผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ คุณไม่เสียหายอะไรที่จะลองมัน
หลักการ 90/10 นี้ เป็นประโยชน์ น้อยคนนักที่จะรู้จัก และนำเอาหลักการนี้มาใช้
ผลลัพธ์ที่ได้? คุณจะเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวคุณเอง ผู้คนเป็นล้านคนรู้สึกเจ็บปวดจากปัญหาต่างๆ ความทุกข์, ความเครียดรุนแรง และปัญหาต่างๆ เพียงแค่เราเข้าใจและนำเอาหลักการ 90/10 นี้มาใช้ มันสามารถเปลี่ยนวิถี ชีวิตของคุณได้แน่ !
แน่นอนว่า ทุกสิ่งที่คุณพูด, ให้,ทำ หรือแม้แต่คิด เหมือน บูมเมอแรง มันจะย้อนกลับมาหาคุณ
ถ้าคุณต้องการที่จะรับ คุณต้องเริ่มต้นด้วยการให้ บางที เราอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่อย่างน้อย
หัวใจเราก็เต็มไปด้วยความสุข .....จริงมั๊ย!!

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

โอกาสยังมีเสมอ

หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย

เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

จึงจับรถมากรุงเทพ และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้) สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น

ซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ

จึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่ง และยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆ

ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า “...ขอโทษครับพี่ ผม...คือว่า... ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...”

เจ้าหน้าที่ ที่นั่งรับสมัครอยู่นั้น ชักสีหน้าทันที

“...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา

แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ”

หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ “...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่

ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ” “งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..”

เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย

“...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ กลับไปเถอะ”

หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย

และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก

… แต่เมื่อกลับถึงบ้าน จึงนึกขึ้นได้ว่า ตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดก เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแมวดิ้นตาย มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว

ด้วยความเจ็บใจ จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น

และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .

… ปรากฎว่า หลายปีต่อมา สวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้น ออกผลอย่างงดงาม และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุกปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น

. . . หลายสิบปีต่อมา จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน และประสบการณ์ที่เพิ่มพูน

บัดนี้ หนุ่มบ้านนอกคนนั้น ก็กลายเป็นชายชรา ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ พ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด และภูมิภาคนั้น

… อยู่มาปีหนึ่ง เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล และชำระบัญชีเรียบร้อย โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษา

และแจกงานการให้ทำในสวนนั้นแล้ว พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก

เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่ ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว

เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว ผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง

ให้ กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา “ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้

รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ” พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ

พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ “พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...”

ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีด พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ

“... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ... ...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ

คือ...พวก เราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่ ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้ แต่...

” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง “.

..แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...”

“...พ่อหนุ่ม” พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี

“...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...”

แกถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

“...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...”

========================================
คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา โอกาสยังมีอยู่เสมอ
ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ แล้วดอกผลจะตามมาเอง

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ไม่ใด้ดั่งใจต้องอดทนอย่างเดียว

4 สถานการณ์ ทดสอบความอดทนของคุณ
1) การขัดจังหวะ
แผน การที่ดีที่สุดของเรามักถูกขัดจังหวะบ่อยๆ เช่น พอนั่งลงรับประทานอาหารเย็นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา, กำลังทำงานให้ทันกำหนดเส้นตาย จู่ๆก็มีแขกมาเยือน หรือถูกขัดจังหวะขณะที่กำลังพูด .....
คำถามคือ คุณรับมือกับสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะชีวิตคุณอย่างไร

2) ความไม่สะดวกสบาย
คุณจัดการกับความไม่สะดวกสบายทั้งหลายในชีวิตอย่างไร ?
เรา เป็นชนรุ่น "เดี๋ยวนี้" ทุกสิ่งต้องรวดเร็ว สำเร็จรูป ด่วน และสะดวกสบาย เราไมชอบการรอคอย อยากได้ข้อมูลเดี๋ยวนี้ เร่งรีบตลอดเวลา รู้สึกถูกเอาเปรียบและไม่สะดวก มีงานต้องทำแต่ดูเหมือนว่าคุณเป็นคนเดียวที่รู้ว่าต้องทำอะไร
คำถามคือ คุณยังอดทนได้มั้ย หากมีความไม่สะดวกสบายเกิดขึ้น

3) ความน่ารำคาญ
สิ่ง เล็กๆ น้อยๆ ที่คอยรบกวนคุณ ไม่ว่าจะเป็น รถติด เสียงโทรศัพท์ในโรงภาพยนต์ เสียงรบกวนจากสุนัขเพื่อนบ้าน การวางของไม่ถูกที่ของลูกและสามี เสียงคนนั่งนินทากันวิพากษ์วิจารณ์กัน อยู่ข้างๆโต๊ะ .... อื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับเราหลายๆคน ความรำคาญใจที่สุดในชีวิตของเราก็คือ "คน"
เรา ทุกคนต่างเจอะเจอคนน่ารำคาญ หรือคนที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น ... หอยมุขต้องทนรับความรำคาญจากเมล็ดทราย กระทั่งเปลี่ยนมันเป็นไข่มุก ... การหัดตอบสนองต่อความน่ารำคาญอย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนเราให้กลายเป็นไข่มุกงามได้

4) ความเฉื่อยชา
คุณอดทนต่อความเฉื่อยชา(ของคนอื่น) ได้มากแค่ไหน
- เข้าแถวรอจ่ายเงินในช่องที่พนักงานทำงานช้า
- หงุดหงิดเมื่อไฟเขียวแล้วรถคนหน้าไม่ยอมออกตัว (แค่ 3 วินาทีเองนะ)
- ....
"คนที่เร่งเท้าหนัก ก็มักผิดพลาด"
นักวิจัยทางการแพทย์พบว่า 90% ของผู้ที่หัวใจวาย ล้วนมีบุคลิกภาพที่รีบเร่ง ใจร้อน และนี่แหละเป็นเหตุที่สร้างความเดือนร้อนให้เค้า

4 วิธี ในการหัดเป็นคนมีความอดทน
1) สร้างมุมมองใหม่
หาวิธีมองสถานการณ์ หรือบุคคลนั้นๆ ที่กำลังสร้างปัญหาให้คุณในมุมมองใหม่
ความอดทนเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีที่คุณมองอะไรบางอย่างเสียใหม่
เวลาที่เราไม่อดทน เรามีมุมมองจำกัด!
- ทุกอย่างที่เห็นก็มีแต่ตัวเอง
- ความจำเป็น ของเรา
- ความปรารถณา ของเรา
- เป้าหมาย ของเรา
- ความอยาก ของเรา
- ตารางเวลา ของเรา
- ... ของเรา และ ของเรา และคนอื่นกำลังมาทำให้ชีวิตเรายุ่งเหยิง !!!
หัดมองอะไรๆ จากมุมมองของคนอื่นบ้าง
"บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่" สุภาษิต 14:29

2) หัดมีอารมณ์ขันเสียบ้าง
"ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี" สุภาษิต 17:22
ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพราะคุณมี สองทางเลือกคือ หัวเราะ หรือ หงุดหงิดฉุนเฉียว

3) หยั่งความรักให้ลึกซึ้ง
"ความรักนั้นก็อดทนนาน" 1คร.13:4
"คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก" อฟ.4:2
มันแปลกลับกันได้หรือไม่ว่า ถ้าเราไม่อดทน ก็คือไม่มีความรัก !!!

4) พึ่งพระเจ้า
ความอดทนไม่ใช่แค่เรื่องพลังความตั้งใจของคนเท่านั้น แต่เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ความ อดทนเป็นความเชื่อ(ศรัทธา) รูปแบบหนึ่งที่บ่งบอกว่า "เราวางใจพระเจ้า เราเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าปัญหา และเราเชื่อว่า มือของพระเจ้าอยู่เหนือเหตุการณ์ที่คอยรังคราญเรา และพระองค์สามารถใช้เหตุการณ์นั้นๆ เพื่อผลดีในชีวิตเราได้ "
ความเชื่อช่วยให้เรามองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้า
ความเชื่อช่วยให้เราพูดได้ว่า "พระองค์อยากให้ลูกเรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นี้" ไม่ใช่พูดว่า "ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้นด้วย"
การรอคอยที่ยากที่สุดคือ รอคอยพระเจ้าในขณะที่เรากำลังรีบ แต่พระองค์ไม่รีบ
ประเด็น ก็คือ พระเจ้าไม่เคยมาสาย เวลาของพระเจ้านั้นไร้ที่ติ พระองค์ไม่ได้ทำตามตารางเวลาของเรา แต่พระองค์มาทันเวลาเสมอ พระองค์ต้องการให้เราวางใจพระองค์และรอคอยพระองค์
"จงสงบอยู่ต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์อยู่" สดด.37:17

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

โทษของการคิดอยู่แต่ในกรอบ

โทษของการคิดอยู่แต่ในกรอบ

ขณะที่ผมกำลังขับรถเดินทางไปจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวบนเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทันใดนั้นเองผมเห็นรถโผล่พ้นเหลี่ยมเขาซึ่งเป็นทางโค ้งวิ่งมาด้วยความเร็วลักษณะส่ายไปมา
แถมยังกินเลนเข้า มายังถนนฝั่งของผม ทำให้ผมต้องเบรกจนตัวโก่งพร้อมกับหักรถหลบลงไหล่ทาง คน
ขับเป็นผู้หญิงก่อนที่รถจะสวนกันเขาก็ชะโงกหน้าออกจากรถ
แล้วตะโกนด้วยเสียงดังว่า ' ควาย...ย...ย ' มันทำให้ผมโมโหมากจึงตะโกนสวนออกไปว่า ' อี...ค...ว...า...ย ' ขี่รถผิดกฎจราจรจนเกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่พอยังม าด่าเราอีก ยังดีนะที่เราด่ามันทันก่อนที่มันจะขับรถสวนพ้นไป มัวแต่นึกแค้นใจที่ถูกด่าอยู่นั้นทันทีที่ผมขับรถพ้น เหลี่ยมเขา ' เอี๊ยด...เอี๊ยด...โครม... ' รถผมก็ ชนควายเข้าอย่างจัง
(ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาบอกเราว่ามีฝูงควายอยู่ข้างหน้า เพราะกรอบความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ของเรา ทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าความหวังดีที่ เตือนให้ระวังเพราะมีควายอยู่ข้างหน้า กลายเป็นการ ถูกด่าว่าเป็นควาย) นี่คือโทษของการคิดอยู่แต่ในกรอบ

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ข้อความที่วิเศษ

โดย จอร์จ คอลลิน
จอร์จ คอลลิน เขียน ณ วันที่ 11กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่มและ ภรรยาเขาตาย)
นี่คือข้อความที่วิเศษ โดย จอร์จ คอลลิน
นี่เป็นความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเรา เรามีตึกที่สูงเสียดฟ้าแต่อารมณ์ที่ฉุนเฉียวง่าย มีถนนที่กว้างใหญ่ แต่ ความคิดที่สั้นแคบ เราใช้จ่ายมาก แต่มีสมบัติน้อยลง เราซื้อมากแต่มีความสุขน้อยลง เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่มีครอบครัวที่เล็กลง มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่มีเวลาน้อยลง เรามีการศึกษาสูงขึ้นแต่มีความสำนึกที่น้อยลง มีความรู้มากขึ้น แต่มีเหตุผลน้อยลง มีผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น และก้อมีปํญหาที่ตามมามากขึ้นยิ่งกว่า มียารักษาโรคมากขึ้น แต่ร่างกายเราก้อปราศจากโรคน้อยลงเราดื่มเหล้ามาก สูบบุหรี่มาก ใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง และ หัวเราะน้อยมาก ขับรถเร็วเกินไป โกรธง่าย นอนดึก และ ตื่นเช้าด้วยความอ่อนเพลียทุกวัน อ่านหนังสือน้อย ดูทีวีมาก และ สวดมนต์ภาวนา น้อยมาก เราได้เป็นเจ้าของสิ่งของมากมาย แต่ก้อต้องสูญเสียคุณค่าของชีวิต เราพูดมาก รักน้อยลง และเกลียดคนโน้นคนนี้บ่อยบ่อย เราเรียนรู้ที่จะดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่แต่ไม่ได้ เรียนรู้ชีวิตเลย เราเพิ่มเวลาเข้าไปในชีวิต แทนที่จะเพิ่มชีวิตเข้าไปในเวลาที่เหลืออยู่ เราสามารถไปถึงดวงจันทร์และกลับมาโดยไม่มีอุปสรรค แต่มีอุปสรรคมากมายที่ขวางเราไว้จากการเดินข้ามถนนไปคุยกับเพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่ฝั่งตรงข้าม เราพิชิตอวกาศ แต่ไม่สามารถพิชิตสิ่งที่อยู่ในใจเรา เราสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่ สิ่งที่ดีกว่าเราได้พยายามทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบรอบตัวเราในขณะที่เราทำให้จิตใจเราสกปรกขึ้น เราสามารถค้นพบสิ่งมองไม่เห็นเช่น อะตอม แต่ไม่สามารถค้นพบความอคติและความลำเอียงในใจเรา เราเขียนมากขึ้นแต่เรียนรู้น้อยลง เราวางแผนมากขึ้น แต่ประสบความสำเร็จน้อยลง เราถูกสอนให้เร่งรีบขึ้น แทนที่จะถูกสอนให้รอคอย เราสร้างคอมพิวเตอร์ขี้นมากมายพื่อบันทึกข้อมูล และเก็บสำเนาข้อมูลไว้เพื่ออ่าน แต่เราพูดคุยติดต่อสื่อสารระหว่างกันน้อยลง เรื่อยเรื่อย นี่เป็นเวลาของการกินอาหารจานด่วน และ ระบบย่อยอาหารที่ต้องทำงานช้าลงเพราะอาหารจานด่วนนั้น นี่เป็นเวลาของผู้ยิ่งใหญ่และคนที่ไม่มีความหมายอะไรเลยบนโลก นี่เป็นเวลาของการทำการค้าแบบเน้นทำกำไรสูงแต่ ความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีต่อกันนั้นตื้นเขิน นี่เป็นเวลาของการทำงานหลายอาชีพเพื่อเงินมากขึ้น และก้อการหย่าร้างที่มากขึ้นตามไปด้วย นี่เป็นเวลาของ การมีบ้านที่สวยงาม แต่มีครอบครัวที่แตกสลาย นี่เป็นเวลาของการเดินทางแบบรวดเร็ว กระดาษชำระแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่มีศีลธรรม ความสัมพันธ์แบบชั่วค่ำคืน คนที่มีน้ำหนักเกิน ยาที่สามารถให้คุณทุกอย่าง ตั้งแต่ เสียงหัวเราะ ความเงียบ หรือ แม้แต่ความตาย นี่เป็นเวลาที่คนจะโชว์สมบัติมากมายเพื่อแสดงออกทั้งทั้งที่ไม่มีสมบัติอะไรหลงเหลือเก็บไว้เลย เวลาที่เทคโนโลยี่สามารถทำให้คุณได้เห็นจดหมายฉบับนี้ และ เวลาที่คุณสามารถที่จะอ่านและแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับเพื่อนคนอื่น หรือ ลบทิ้งไปจงจำไว้ว่า คุณควรใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรักให้มากมาก เพราะเวลาเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ จงจำไว้ว่า คุณควรพูดจาอ่อนโยนให้กับลูกลูกที่หวาดกลัวคุณ ก่อนที่วันหนึ่งเขาเหล่านั้นจะโตขึ้นและจากคุณไป จงจำไว้ว่า คุณควรกอดคนที่คุณรักด้วยความอบอุ่นบ่อยบ่อยเพราะนี่คือสิ่งที่คุณทุกคนสามารถให้กับคนที่คุณรักได้ด้วยใจ และไม่ได้ทำให้คุณเสียเงินแม้บาทเดียวอย่าลืมที่จะพูด "ผมรักคุณ" ให้ แฟนของคุณหรือคนที่คุณรัก และสิ่งมากไปกว่านั้นคือ แสดงให้เขาเห็นตามคำที่คุณพูด การกอดจูบและแสดงความรักจะช่วยประสานความรู้สึกที่เจ็บปวดในใจของคนที่คุณรัก เมื่อการกระทำนั้นมาจากก้นบึงของหัวใจคุณ อย่าลืมที่จะกุมมือและถนุถนอมความรู้สึกที่ดีดีและแสดงให้เขาเห็นว่าคุณมีความสุขกับเขาในเวลาที่คุณมีความสุข เพราะคนคนนั้นและเวลาเหล่านั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก ให้เวลากับความรัก ให้เวลาที่จะพูดที่จะแสดง และให้เวลาที่จะแบ่งปันความรู้สึกดีดีในใจของคุณ กับ คนที่คุณรักชีวิตไม่ได้ถูกวัด ด้วยจำนวนครั้งของลมที่เราหายใจ แต่ถูกวัดด้วย จำนวนครั้งที่เราลืมหายใจเพราะความดีใจต่างหาก

เรื่องประหลาดที่คุณอาจไม่รู้

1. ผีเสื้อรับรสด้วยเท้าของมัน

2. เสียงร้องของเป็ดจะไม่เป็นเสียงสะท้อน (echo) ไม่มีใครรู้ว่าทำไม

3. ในเวลา 10 นาที พายุเฮอริเคนมีพลังมากกว่าพลังงานนิวเคลียร์

4. ช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่ไม่สามารถกระโดดได้

5. ผู้หญิงกระพริบตามากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า

6. แปลกที่มนุษย์เราไม่สามารถเลียข้อศอกของตัวเองได้

7. ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียนน่าจมลงในดิน 1นิ้วทุกปี เพราะวิศวกร ลืมคำนวณถึงน้ำหนักหนังสือ

8. หอยทากสามารถนอนหลับได้ 3 ปี!

9. ตาของเราจะขนาดเท่าเดิมตลอดตั้งแต่เกิด แต่จมูกและหูจะไม่หยุดโต

10. เก้าอี้ไฟฟ้า(สำหรับประหารชีวิตนักโทษ)ออกแบบโดยหมอฟัน

11. หมีขั้วโลกทุกตัวจะถนัดมือซ้าย

12. สมัยอียิปต์โบราณ พระจะถอนขนทุกเส้นในตัว รวมถึงคิ้วและขนตา โอยยย

13. ตาของนกกระจอกเทศใหญ่กว่าหัวสมองของมันซะอีก

14. คำว่า TYPEWRITER เป็นศัพท์ที่ยาวที่สุดที่คุณจะนึกออกในแป้นพิมพ์แถวเดียวกัน

15. เกือบทุกคนที่อ่านเรื่องนี้พยายามที่จะเลียข้อศอกของตัวเอง...คุณล่ะ??