วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เกิดมาทำไม

โดย พาสเตอร์ ริค วอเรน
ทำไม เราจึงเกิดมาบนโลกใบนี้? คำถามที่สำคัญนี้ฉันเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากรู้คำตอบแน่นอน แม้ว่าท่านจะเชื่อว่ามีพระผู้สร้างหรือไม่ หรือท่านอาจเชื่อว่าเงินคือพระเจ้า หรือตัวท่านเองคือพระเจ้าผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง
พาสเตอร์ริคได้ตอบว่า ชีวิตอาจเปรียบเหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มบางอย่างอยู่ ชีวิตคือการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเป็นอมตะ ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่ให้อยู่คงทนชั่วนิรันดร์ พระเจ้าต้องการให้เราไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ วันหนึ่งหัวใจของฉันจะหยุดเต้น และเมื่อนั้นก็หมายความว่ามันเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้ของฉัน แต่นั่นไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตของฉัน
ฉันอาจมีชีวิตแค่ 60 ปี หรือ ยืนยาวไปถึง 100 ปี บนโลกใบนี้, แต่ฉันจะต้องไปใช้ชีวิตเป็นแสนล้านปีในอาณาจักรอันนิรันดร์ที่พระเจ้ากำหนด ชีวิตบนโลกใบนี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่อง เหมือนกับการลองสวมเสื้อผ้าเท่านั้น พระเจ้ามีความประสงค์ให้เราลองฝึกฝนตัวเองบนโลกใบนี้ก่อนที่เราจะได้รับอนุญาตให้ไปมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ในอีกภพหนึ่ง
ชีวิตของเราถูกสร้างโดยพระเจ้า เพื่อพระเจ้า จนกว่าเราจะเข้าใจสิ่งนี้ก่อน เราจึงจะสามารถจินตนาการให้เข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ชีวิตคือการเผชิญปัญหาที่เป็นขั้นตอนต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะประสบกับปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเพิ่งจะผ่านพ้นอุปสรรค์อย่างหนึ่ง คุณยังจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาอีกอย่างหนึ่งอีก ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าสนใจสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณมากกว่าเพียงความสุขสบายส่วนตัวของคุณ, พระเจ้าสนใจที่จะพยายามขัดเกลาชีวิตของคุณให้บริสุทธิ์ มากกว่าทำให้ชีวิตของคุณมีแค่ความสบายและมีความสุข
เราบางคนอาจมีเหตุผลที่ดีในการมีชีวิตที่มีความสุขบนโลกนี้, แต่สิ่งนี้ไม่ใช้เป้าหมายของชีวิตนะ, เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคือสร้างสรรค์คุณลักษณะอุปนิสัยแบบพระคริสต์ต่างหากล่ะในปีที่ผ่านไปรู้สึกว่าเป็นปีที่ดูยิ่งใหญ่สำหรับฉัน แต่ก็เป็นปีที่ยากลำบากมากด้วย, เพราะภรรยาของฉันคุณ เคย์ ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ฉันเคยคิดว่าชีวิตเป็นเหมือนกับการขึ้นเขาลงห้วยลุ่มๆ ดอนๆ + เราอาจมีเวลาแห่งชีวิตเหมือนอยู่ในความมืดมิด, ต่อมาชีวิตมันดูเหมือนอยู่บนที่สูงสุดของภูผา, ไปๆ มาๆ, ฉันไม่เชื่อย่างนี้อีกแล้วล่ะ
ชีวิตเป็นมากกว่าการขึ้นเขาลงห้วยนะ, ฉันเชื่อว่าชีวิตน่าจะเป็นเหมือนรางรถไฟคู่, ในทุกขณะของชีวิตคุณจะต้องพบทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีในชีวิต ไม่ว่าสิ่งดีในชีวิตจะทำให้คุณเป็นสุขมากเพียงใด, ชีวิตก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่เรื่อยไปและไม่ว่าสิ่งเลวๆ ในชีวิตจะเป็นอย่างไร, ชีวิตก็ยังมีสิ่งที่ดีๆ ให้เราขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกว่าจะเล็งเป้าหมายของชีวิตไปทางไหน, เป้าหมายเพื่อจุดประสงค์ของชีวิตหรือวางเป้าหมายไปที่ปัญหาชีวิต
ถ้าหากคุณมุ่งความสนใจไปที่ปัญหา, ก็หมายความว่าคุณกำลังมุ่งเข้าสู่ชีวิตที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเอง, ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราอาจเรียกมันว่า ปัญหาของฉัน เรื่องยุ่งๆ ของฉัน ความเจ็บปวดของฉันแต่วิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะขจัดความเจ็บปวดออกจากชีวิตของคุณ ก็คือการเล็งเป้าหมายชีวิตไปที่พระเจ้าและคนอื่นๆ มากกว่า
เราได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า ทั้งๆ ที่มีคนเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นๆ คนช่วยกันอธิษฐานเผื่อความเจ็บป่วยของเคย์ภรรยาของฉัน คือขอให้เขาหายป่วยจากการเป็นมะเร็งร้าย แต่พระเจ้าไม่รักษาเคย์ หรือทำให้เคย์มีชีวิตที่สบายขึ้น สิ่งนี้มันเป็นเรื่องลำบากสำหรับเคย์มาก, แต่ด้วยเหตุแห่งความเจ็บป่วยนี้พระเจ้าได้เสริมกำลังให้เคย์มีอุปนิสัยที่เข้มแข็งขึ้น, พระองค์ได้ประทานพันธกิจแห่งการเยียวยาผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นๆ, พระเจ้าได้ประทานคำพยานที่เธอจะสามารถเล่าถึงพระคุณของพระเจ้าในความเจ็บป่วยของเธอ พระเจ้าได้ฉุดดึงเคย์ให้เข้าไปใกล้พระองค์และคนอื่นๆ มากขึ้น
แท้ที่จริงชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะจัดการกับเรื่องที่ดีและเรื่องที่เลวร้ายในชีวิตไปพร้อมๆ กันจริงๆ แล้วบางทีการเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งดีในชีวิตมันยากกว่านะ ยกตัวอย่างนะ ในปีที่ผ่านไปเพียงระยะเวลาไม่นาน หนังสือที่ฉันแต่งขึ้นได้ขายออกไปถึง 15 ล้านเล่ม มันทำให้ฉันร่ำรวยขึ้นผิดหูผิดตาอย่างรวดเร็วมาก แต่มันก็ทำให้ฉันมีชื่อเสียงมากมายจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ฉันไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะประทานความมั่งคั่งกับชื่อเสียงที่โด่งดังเพื่อตอบสนองความอยากส่วนตัวของเรา หรือเพียงเพื่อให้ชีวิตของเราเป็นอยู่อย่างสุขสบายเท่านั้น
ดังนั้นฉันจึงเริ่มถามพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการให้ฉันทำอย่างไรกับความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และอิทธิพล พระเจ้าประทานถ้อยคำสองตอนจากพระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 9 และพระธรรมสดุดี ของพระองค์ที่ช่วยให้ฉันตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
ประการแรก, ทั้งๆ ที่เงินมากมายกำลังไหลเข้ามาในกระเป๋า, เราจะไม่เปลี่ยนวิถีแห่งการดำเนินชีวิตสักนิดเดียว, เราไม่ได้ซื้อข้าวของอะไรที่แพงๆ
ประการที่สอง, ประมาณกลางปีที่แล้ว, ฉันได้หยุดรับเงินเดือนค่าตอบแทนจากการเป็นทำงานจากคริสตจักรที่ฉันดูแลอยู่
ประการที่สาม, เราได้ตั้งกองทุนเพื่อการเริ่มต้นปลูกสร้างคริสตจักรที่เราเรียกว่า “โครงการปลูกสร้างคริสตจักร, เตรียมผู้นำ, ช่วยเหลือคนยากไร้, กองทุนสำหรับคนเจ็บป่วย, และการให้การศึกษาสำหรับคนรุ่นต่อไป
ประการที่สี่, ฉันได้คำนวณว่าตลอดเวลาที่ฉันได้ทำงานให้คริสตจักรเป็นเวลาถึง 24 ปี คริสตจักรได้จ่ายค่าตอบแทนให้กับฉันเป็นเงินเท่าไหร่ ฉันได้จ่ายคืนเท่ากับจำนวนเงินทั้งหมดที่คริสตจักรได้จ่ายให้ฉัน
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกปลดปล่อยว่า ฉันได้รับใช้พระเจ้าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน คือการรับใช้ฟรีๆ มีคำถามที่เราต้องถามตนเอง: ฉันกำลังมีชีวิตอยู่เพื่อการครอบครองหรือ? เพื่อเป็นที่นิยมชมชอบหรือ?ชีวิตของเรากำลังถูกกระตุ้นด้วยแรงกดดันต่างๆ บางอย่าง เช่น ความรู้สึกโทษตัวเอง, ความขมขื่น ความอยากได้อยากมีในทรัพย์สิ่งของ, หรือว่า... ชีวิตของเราน่าจะถูกพลักดันโดยพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตเรา
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า, ฉันนั่งอธิษฐานที่ข้างเตียงว่า พระเจ้า, หากวันนี้ไม่สามารถทำความสำเร็จใดๆ ลูกอยากรู้จักพระองค์และรักพระองค์มากขึ้นเก่าเดิม “พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์เพียงเพื่อให้ฉันมาทำสิ่งในสิ่งที่เป็นแค่รายการที่ต้องทำประจำวันเท่านั้น” "พระองค์สนใจในสิ่งที่ฉันเป็นมากกว่าสิ่งที่ฉันทำ" นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเรียกคนว่า มนุษย์ผู้เป็นอยู่, ไม่ใช่ มนุษย์ผู้กำลังทำงาน
เมื่อมีสุข จงสรรเสริญพระเจ้า, เมื่อประสบความลำบาก จงแสวงหาพระเจ้าในยามเงียบสงบ, จงนมัสการพระเจ้าเมื่อยามเจ็บปวด, ในทุกๆ ขณะของชีวิต จงขอบพระคุณพระเจ้าจงวางใจพระเจ้า,

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

การตรึง

เขียนโดย อาจารย์ปัญญา โชชัยชาญ


เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเด็ก ครูรวีวารศึกษาได้สอนข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกถึงเรื่องพระกำเนิด, การดำเนินชีวิต, การสิ้นพระชนม์, และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ครั้นข้าพเจ้าย่างเข้าสู่วัยหนุ่มก็ได้ พยายามจัดลำดับความรู้ เหล่านั้นให้เป็นระเบียบ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าคิดสงสัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าปฏิเสธพระคัมภีร์ เพียงแต่รู้สึกไม่แน่ใจในหลายๆ อย่าง

บางครั้งความรู้สึกนี้ทำให้ข้าพเจ้า (สงสัยตนเองมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์หรือไม่) เมื่อ ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในวิทยาลัย อาจารย์กำหนดให้ข้าพเจ้าเขียนรายงานประจำภาคเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้ เลือกค้นคว้าเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ เมื่อได้ศึกษาเรื่องนั้นแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึก 2 อย่าง คือ รู้สึกหวาดกลัวในเหตุการณ์อันสยดสยองครั้งนั้น และมีความเชื่อในพระเยซูคริสตฺ์ จากหลักฐานต่างๆ ของนักประวัติศาสตร์เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย ใน สมัยของพระคริสต์นั้น รัฐบาลโรมจะประหารชีวิตนักโทษโดยการจับตรึงที่กางเขน การลงโทษโดยใช้วิธีนี้มิใช่เพื่อล้างผลาญชีวิตของผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่เพื่อให้ประชาชนได้เห็นโทษที่ผู้กระทำผิดได้รับอีกด้วย


ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา มีหนังสือและการศึกษาอย่างน้อย 10 ฉบับที่พยายามทำความเข้าใจสาเหตุทางกายภาพของการเสียชีวิตของพระเยซู ในจำนวนนี้รวมถึงความพยายามของคนอเมริกันกลุ่มหนึ่งในปี 2005 ที่มีการตรึงอาสาสมัครกับกางเขนชั่วคราวและอย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัด การทดลองนี้ทำให้ได้มาซึ่งสมมติฐานมากมาย ตั้งแต่หัวใจล้มเหลวไปจนถึงเลือดคั่งในปอด และอาการสลบและช็อคเนื่องจากความดันโลหิตลดต่ำ เหยื่อจะเจ็บปวดทรมานอยู่นาน 6 ชั่วโมงนับจากถูกตรึงกางเขนจนเสียชีวิตจากการเสียเลือด ขาดน้ำ และน้ำหนักของร่างกายที่กดทับปอด

การตรึงที่กางเขน เป็นการทรมานนักโทษให้ตายอย่างช้าๆ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนขยาดกลัว มิกล้ากระทำผิด วิธีตรึงที่กางเขนนั้น แผกแตกต่างกันไปบ้าง เล็กน้อยในแต่ละแห่ง แต่ผลลัพธ์นั้นก็เหมือนกัน คือ ความเจ็บปวดรวดร้าวจนตาย อย่างช้าๆ ท่านเคยคิดสงสัยเหมือนข้าพเจ้าหรือไม่ว่า ตะปูที่แทงทะลุมือและเท้าจะทำให้คนตายได้อย่างไรกัน ขอเชิญพิจารณาร่วมกับข้าพเจ้าถึงเรื่องนี้

การโบยตี – บาง ครั้ง สิ่งแรกสุด ในกระบวนการตรึงที่กางเขนก็คือ การเฆี่ยนตีผู้กระทำผิดจนเกือบจะตาย จากประวัติศาสตร์ที่มิได้ระบุระยะเวลาอย่างชัดแจ้ง, นักโทษที่ถูกโบย 40 ที ถึงแก่ความตาย ดังนั้นเองพวกทหารโรมันจึงโบยนักโทษแต่เพียง 39 ที เท่านั้น โดยใช้แส้ที่มีสายหนังหลายเส้น แต่ละเส้นมีหินหรือกระดูกแหลมคมติดอยู่ที่ปลายแส้ นักโทษที่ถูกโบยจะมีแผ่นหลังและสีข้างเป็นรอยแตกยับ กระดูกสันหลังได้รับความกระทบกระเทือนจนประสาทถูกทำลาย

การแบกไม้กางเขน – นักโทษบางคนต้องแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหารเป็นระยะทางไกล เพื่อประจานตัวเอง มิให้ประชาชนเอาเป็นเยี่ยงอย่างโดยทั่วไปแล้ว นักโทษผู้เคราะห์ร้ายจะถูกบังคับให้แบกกางเขน

นักประวัติศาสตร์ รายงานเราว่า ชาวโรมันใช้วิธีตรึงที่กางเขน 2 แบบ ในสถานที่ต่างกันและอันที่จริงแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาใช้วิธีใดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

วิธีแรก พวกทหารโรมันจะปักไม้ท่อนตรงลงในแดนประหารอย่างแน่นหนา นักโทษจะถูกบังคับให้แบกไม้อีกท่อนหนึ่ง (ซึ่งมีขนาดและน้ำหนักพอๆ กับไม้หมอนรถไฟ) ไป จนถึงที่ประหารซึ่งทหารโรมันจะตรึงแขนทั้งสองข้างของเขากับท่อนไม้ที่แบกมา จากนั้นก็จะยกขึ้นพาดกับไม้หลักตรงรอยบาก แล้วผูกให้ติดกันแน่น พวกทหารจะตอกตะปูทะลุเท้าของนักโทษให้ติดแน่นกับไม้หลัก โดยให้เข่าทั้งคู่งอ และฝ่าเท้านาบไปกับไม้หลักนั้น

วิธี ที่สอง ทหารโรมันจะเอาไม้มาประกอบกันเป็นไม้กางเขน แล้วบังคับให้นักโทษแบกลากไปยังแดนประหาร ณ ที่นั้นพวกเขาจะตรึงแขนและเท้าของนักโทษกับไม้กางเขน ดังได้พรรณนามาแล้วข้างต้น การตรึงทั้งสองวิธีจะใช้เชือกหรือสายหนัง รัดรึงแขนทั้งสองข้างของผู้เคราะห์ร้ายเข้ากับบางเขน บางครั้งอาจใช้แทนการตอกตะปู หรืออาจใช้ประกอบเพิ่มจากการตอกตะปูแล้วก็ได้

จากนั้น พวกเขาก็จะช่วยกันยกกางเขนมาหย่อนลงในหลุมที่ขุดในหินแล้วตอกลิ่มที่โคน กางเขนเพื่อมิให้โคลงเคลง ตอนนี้เองที่ความทุกข์ทรมานจนตายอย่างช้าๆ ได้เริ่มขึ้น เมื่อแขนทั้งสองข้างของนักโทษเหยียดออก น้ำหนักของร่างกายก็ถ่วงลงจากข้อมือ ดึงกล้ามเนื้อที่ทรวงอก (ซึ่ง มีหน้าที่ควบคุมการหายใจ) ทำ ให้เกิดอาการชา การหายใจติดขัด ตามเนื้อตามตัวของนักโทษจะปรากฎ รอยจ้ำ ดำๆ หลายๆ แห่งให้เห็น ทั้งนี้เพราะร่างกายขาดออกซิเจน ดังนั้นเพื่อจะได้หายใจสักหนึ่งหรือสองเฮือก นักโทษผู้ อ่อนระโหยโรยแรงก็จะกระเสือกกระสนเหยียดตัวขึ้น โดยการเขย่งเท้า (ทำให้น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดมาตกที่ตะปูตัวที่แทงทะลุเท้าทั้งสองข้าง)

แต่ในไม่ช้าผู้เคราะห์ร้ายก็จะทิ้งตังลงอยู่ในสภาพเดิม) (คือ เข่างอทั้งคู่) เพราะ เจ็บปวดแสนสาหัส เขาจะเหยียดตัวขึ้นแล้วก็ทิ้งตัวลงอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ครั้นเวลาร่วงเลยไป ร่างที่บอบช้ำหมดเรียวแรงก็จะหยุดนิ่ง เขย่งขาไม่ได้อีก นักโทษจะสั่นเทาไปทั้งตัว ทั้งนี้เพราะกล้ามเนื้อที่ทรวงอกเป็นอัมพาต ทำให้หายใจไม่ออก มีนักโทษประหารบางรายทนการทรมานอย่างนี้ ได้นานจนพวกทหารโรมันต้องใช้หอกเสียบ และทุบขาให้หักทั้งสองข้าง เพื่อทำให้เขาไม่สามารถเหยียดตัวขึ้นหายใจได้ ไม่ช้าก็จะเกิดการชักกะตุกอย่างรุนแรงที่บริเวณหน้าอกของนักโทษ ทำให้เขาสิ้นชีวิตลงทันที

ลองพิจารณาดูเถิดว่า ลมหายใจ (ของนักโทษ) แต่ ละเฮือกนั้นมีค่ามากเพียงใด เพราะฉะนั้นพระดำรัสของ พระเยซูบนไม้กางเขน เกี่ยวกับการอภัยบาปจึงมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ และเนื่องจากพระเยซูผู้ทรงฤทธิ์อำนาจไม่จำกัดยินยอมให้พวกเขาแขวนพระองค์เอง ที่กางเขน เพื่อเป็นค่าไถ่พวกเรา ท่านเปาโลจึงเรียกร้องให้เรามีความเชื่อว่า “…. พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณากระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟิลิปปี 2:6)

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ที่มาของซาตาน

ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์.

"พระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ?" ศาสตราจารย์ถาม

"จริง" นักศึกษาตอบ.

ศาสตราจารย์พูดต่อว่า "ถ้า หากพระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจริง
ดังนั้นพระเป็นเจ้าก็สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาด้วย
และเนื่องจากความชั่วร้ายมีอยู่จริง ตามหลักตรรกะที่เราเรียนมา
พระเป็นเจ้าก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง" นักศึกษาพากันเงียบกริบ
ศาสตราจารย์ดูมีท่าทีพึงพอใจและคุยโวว่า
เขาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าความเชื่อทางคริสตศาสนานั้นเป็นแต่เพียงเรื่องงม
งายเท่านั้น

นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นและขอพูด
"ผมจะขอถามคำถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหมครับศาสตราจารย์?"

"ได้ซิ แน่นอน" ศาสตราจารย์ตอบ .

นักศึกษาคนนั้นยืนขึ้น "ศาสตราจารย์ครับ, ความเย็นมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"

"เธอถามคำถามอะไรของเธอนี่ ? แน่นอนมันย่อมมีอยู่จริงนะซิ.
เธอไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นบ้างเลยหรือไง?"
นักศึกษาคนอื่นๆต่างงุนงงในคำถามของหนุ่มคนนั้น

นักศึกษาหนุ่มพูดต่อ "ความ จริงนะครับ , ความเย็นไม่มีอยู่จริง.
ตามกฎทางฟิสิกส์,
สิ่งที่เราเรียกว่าความเย็นนั้นแท้ที่จริงคือการขาดความร้อน
สสารสามารถส่งผ่านและถ่ายเทความร้อนกันได้
และความร้อนก็ถ่ายเทจากสสารหนึ่งไปสู่สสารหนึ่ง ศูนย์องศาสมบูรณ์
(Absolute zero = -460 degrees F) ก็คือการขาดความร้อนโดยสิ้นเชิง
ในสภาวะเช่นนั้นสสารจะเฉื่อยและไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ--
ความเย็นไม่มีอยู่จริง
เรานิยามคำนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงความรู้สึกเมื่อเราขาดความร้อนเท่านั้น
ครับ."

และนักศึกษาหนุ่มก็พูดต่ออีก "ศาสตราจารย์ครับ แล้วความมืดมีอยู่จริงหรือไม่ครับ? "

ศาสตราจารย์ตอบ "ใช่......มันมีอยู่จริง."

นักศึกษาจึงพูดขึ้น "ท่าน ตอบผิดอีกครั้งแล้วครับ ,
ความมืดไม่มีอยู่จริงหรอก . แท้จริงความมืดก็คือการขาดแสงสว่าง
เราสามารถศึกษาเรื่องของแสงได้ แต่เราไม่สามารถศึกษาเรื่องความมืดได้เลย
เราใช้แก้วปริซึมในการแยกแสงออกเป็นหลายสีและศึกษาช่วงความถี่ของแสงแต่ละสี
ได้ แต่คุณไม่สามารถวัดค่าของความมืด
รังสีของแสงสามารถเข้าไปในโลกของความมืดและทำให้มันสว่างไสว
ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอวกาศมืดมากน้อยแค่ไหน?
ก็โดยการวัดปริมาณของแสงสว่างที่มีอยู่ใช่ไหม?
ความมืดเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีแสง
สว่างนั่นเอง ."


นักศึกษาหนุ่มคนนี้ก็ถามคำถามอีก "ท่านครับ แล้วความชั่วมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"

คราวนี้ศาสตราจารย์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ "แน่ นอน
ตามที่ฉันบอกเอาไว้แล้ว เราก็เห็นอยู่ทุกๆวันนี่นา ในชีวิตประจำวันของเรา
มีอาชญากรรมและความรุนแรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกซึ่งก็คือความชั่วร้ายนั่น
แหละ."

นักศึกษาตอบอีก "ความชั่วไม่ มีอยู่จริงหรอกครับท่าน,
หรือมิฉะนั้นมันก็ไม่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง.
ความชั่วก็คือการขาดพระเป็นเจ้า
มันก็เหมือนกับความมืดและความเย็นนั้นแหละครับ
มันเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้อธิบายถึงการขาดพระเป็นเจ้า
พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา
ความชั่วร้ายแตกต่างจากความเชื่อหรือความรักซึ่งมีอยู่จริง
เช่นเดียวกับแสงสว่างและความร้อน
ความชั่วร้ายเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ไม่มีความรักของพระเป็นเจ้า
ในหัวใจของเขา เช่นเดียวกับความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความร้อน
หรือความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความสว่างนั้นแหละครับ ."

ศาสตราจารย์หย่อนตัวลงนั่ง นิ่งอึ้งไป.

นักศึกษาหนุ่มผู้นั้นมีชื่อว่า - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

...

ในความเป็นจริง แม้เดิมซาตานจะเคยเป็นลูซิเฟอร์
หัวหน้าทูตสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างก็จริง
แต่ความชั่วร้ายในตัวมันก็มิได้มีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า
แต่มีต้นกำเนิดมาจากตัวของมันเอง (เทียบ ยอห์น 8:44)
สาเหตุที่ทำให้ต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้ายนี้อุบัติขึ้นในตัวของมันเอง
ก็มาจากการที่มันแยกตัวเองจากพระเจ้า ไม่พึ่งพิงพระเจ้า
เป็นเอกเทศจากพระเจ้า จึงคิดตั้งตนขึ้นเสมอพระเจ้า (อิสยาห์ 14:12-15)

ขณะที่พระเจ้าเนรมิตสร้างมนุษย์
พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์พึ่งพิงพระองค์โดยการกินต้นไม้แห่งชีวิต
ซึ่งต้นไม้แห่งชีวิตก็เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ที่เล็งถึงตัวของพระเจ้าเอง
เมื่อมนุษย์ไม่พึ่งพิงพระองค์ ไม่กินพระองค์เป็นต้นไม้แห่งชีวิต (ยอห์น
6:57; 15:5) แต่ไปรับเอาต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่วเข้ามาแทนพระเจ้า
(ซึ่งทั้งความรู้ ความดี และความชั่วก็ล้วนแต่ไม่ใช่พระเจ้า
มีแต่จะส่งเสริมให้เราเป็นอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพิงพระเจ้า)
มนุษย์ก็เลยยิ่งแยกไปจากพระเจ้า ยิ่งเป็นหนึ่งกับซาตาน

สำหรับพระเจ้าแล้ว
การกระทำของมนุษย์ที่พระองค์ทรงเห็นว่าชั่วร้ายที่สุดก็คือการไปพึ่งพิงสิ่งอื่น
ยึดเอาสิ่งอื่นมาหล่อเลี้ยงชีวิตของตน แทนที่พระเจ้า
ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต
และเป็นการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตที่แท้จริงของเรา (เยเรมีย์ 2:13)

วันนี้ เราดำเนินชีวิตโดยพึ่งพิงพระองค์หรือไม่? เราเป็นคนดี
ด้วยความพยายามของเรา หรือเพราะเราพึ่งพิงพระเจ้า? เราปรนนิบัติพระเจ้า
ด้วยความร้อนรนของเรา
หรือโดยยึดพระเจ้าเป็นต้นกำเนิดที่หล่อเลี้ยงชีวิตแก่เรา?
ความสว่างที่เราได้จากการอ่านพระคัมภีร์ มาจากความฉลาดของเรา
หรือมาจากพระวิญญาณที่ฉายส่องในการอธิษฐาน (เทียบ อิสยาห์ 50:11)?