วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความผิดพลาด

ผมถึงเรียบร้อยแล้วน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง!

อีเมล์ผิด
เรื่องมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งเพิ่งจะเข้าพักในโรงแรม
เค้าเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่ในห้อง
จึงตัดสินใจส่ง e-mail ให้กับภรรยา แต่เขาดันพิมพ์
e-mail address ของภรรยาผิดไป
และได้ทำการส่ง e-mail นั้นไปโดยที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย!

ในขณะนั้น...ณ. ที่แห่งหนึ่งในฮัสตัน
แม่ม่ายคนหนึ่งเพิ่งจะกลับจากพิธีฝังศพสามี
เธอตัดสินใจเข้าไปตรวจดู e-mail
โดยหวังว่าจะมีข้อความแสดงความเสียใจจากญาติๆ
และเพื่อนฝูงส่งมาให้กำลังใจ หลังจากเธอได้อ่านข้อความแรกจบลง
เธอก็หมดสติ ล้มลงทันที

ลูกชายของเธอก็วิ่งเข้ามาในห้อง เห็นแม่นอนนิ่ง ตาค้างอยู่ที่พื้น
โดยได้จ้องมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ ลูกชายได้เห็นข้อความเขียนไว้ว่า


To : ภรรยาที่รักของผม
Subject : ผมถึงเรียบร้อยแล้วน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง!
Date : 09 พ.ค 2007


ผมรู้ว่า คุณจะต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ที่ได้รับข่าวนี้
ที่นี่มีคอมพิวเตอร์ด้วยล่ะ! และพวกเราก็ได้รับอนุญาตให้ส่ง e-mail
ถึงคนที่เรารักได้หนึ่งคน ผมเพิ่งจะมาถึง และ Checked in เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเพื่อรอต้อนรับคุณที่จะมาถึงในวัน พรุ่งนี้

รัก...คิดถึงเสมอ....รีบมาล่ะ.....พวกเรารออยู่น่ะ


ปล. ถ้าให้ผมรอคุณนานคุณยังไม่มาหาผมสักที คืนนี้ผมจะไปรับคุณเองล่ะนะ ที่รัก !!!!!!!!!!!!

ชีวิตขับเคลื่อน

ชีวิตคุณขับเคลื่อนด้วยอะไร

คัดย่อบางส่วนจาก หนังสือชีวิตที่เคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์ ลองมาดูกันว่าชีวิตคุณใช้อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนกันแน่

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความรู้สึกผิด
พวกเขาใช้ชีวิตวิ่งหนีความเสียใจ และปกปิดความอายไว้ คนที่ถูกความรู้สึกผิดผลักดันจะถูกความทรงจำควบคุม ยินยอมให้อดีตบงการอนาคต และมักจะลงโทษตัวเองโดยไม่รู้ตัว ด้วยการทำลายโอกาสความสำเร็จของตนเอง
เราเป็นผลผลิตของอดีตแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักโทษของมัน พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดโดยอดีตของคุณ พระองค์เปลี่ยนฆาตกรนามว่าโมเสสให้เป็นผู้นำ และเปลี่ยนชายขี้ขาดชื่อ กิเดโอน ให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ... พระองค์ก็เปลี่ยนคุณได้เช่นเดียวกัน

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความแค้นและความโกรธ
พวกเขากำความเจ็บปวดไว้และไม่ยอมลืมมัน แทนที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดด้วยการยกโทษ พวกเขากลับทบทวนมันในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางคนเก็บความแค้นไว้ภายในจนเก็บกด บางคนระเบิดมันออกมาใส่คนอื่น
คนที่ทำให้คุณเจ็บปวดในอดีตไม่สามารถทำให้คุณเจ็บปวดในปัจจุบันได้ อดีตก็คืออดีต กำมันไว้ก็รังแต่จะทำร้ายตัวเองด้วยความขมขื่น ดังนั้นจงเรียนรู้และลืมมันซะ
โยบ 5:2 "แน่ละ ความร้อนใจฆ่าคนโฉด และความริษยาฆ่าคนเขลา"

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว
คนที่ถูกความกลัวผลักดันมักจะพลาดโอกาสสำคัญๆ เพราะกลัวความเสี่ยง เขาเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อน และรักษาสิ่งต่างๆไว้ในสภาพเดิมๆ
ความกลัวคือคุกที่สร้างไว้ขังตนเอง ซึ่งจะขัดขวางคุณไม่ให้เป็นอย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้คุณเป็น คุณต้องสู้กับมันด้วยอาวุธแห่งความเชื่อและความรัก

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยวัตถุนิยม
ความปรารถนาที่จะมีสิ่งของได้กลายเป็นเป้าหมายทั้งหมดของชีวิต แรงผลักดันที่อยากจะมีสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าใจผิดว่ามีมากขึ้นจะทำให้มีความสุข เป็นคนสำคัญ และมั่นคงยิ่งขึ้น
ความจริงก็คือ คุณค่าของคุณไม่ได้ถูกกำหนดโดยของมีค่าที่คุณมี ความมั่งมีสามารถสูญไปในทันทีด้วยปัจจัยหลากหลายที่ควบคุมไม่ได้

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความความต้องการเป็นที่ยอมรับ
พวกเขายอมให้ความคาดหวังของพ่อแม่ คู่ครอง ลูก ครูอาจารย์ เจ้านาย ลูกน้อง หรือเพื่อนๆ ควบคุมชีวิตเค้า บางคนถูกกดดันจากเพื่อนๆ และกังวลอยู่เสมอว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
น่าเสียดาย เพราะคนที่ทำตามฝูงชนมักจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป เคล็ดลับของการล้มเหลวประการหนึ่งคือการพยายามทำให้ทุกคนพอใจ
การถูกความคิดเห็นของคนอื่นควบคุมคือวิธีการอันแน่นอนที่จะพลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ

ยังมีอีกหลายแรงผลักดันที่ขับเคลื่อนชีวิตคุณ หากแรงผลักดันนั้นไม่ได้ดำเนินอยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า ก็ล้วนนำไปสู่ทางตัน

พระคัมภีร์

พระคัมภีร์ไบเบิล หนังสือมหัศจรรย์ The Holy Bible

กำเนิดพระคัมภีร์

ชนชาติอิสราเอลได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า และได้ถูกมอบหมายให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ในประมาณปี 1400 ก่อน ค.ศ. ได้มีการเริ่มเขียนถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดง เริ่มเขียนโดยโมเสสหลังจากที่ได้พบพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย และได้เขียนย้อนหลังไปถึงการสร้างโลก โดยการดลใจของพระเจ้า และได้มีการรวบรวมพระวจนะ ประวัติศาสตร์ คำพยากรณ์ กฎหมาย และอื่นๆอีกมากมาย ตามการดลใจของพระเจ้า หลังจากนั้นก็มีการ ร่วมรวมเข้าเป็นพระคัมภีร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำถึงเล่มสุดท้ายประมาณปี ค.ศ. 96 – 97 ซึ่งเป็นปีที่พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายของยอห์น คือ พระธรรมวิวรณ์ (Revelation of John) ใช้เวลารวบรวมทั้งสิ้น 1600 ปี ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คน มีทั้งสิ้น 66 เล่ม

พระคัมภีร์มาถึงปัจจุบันได้อย่างไร

พระคัมภีร์อยู่มาถึงปัจจุบันได้เนื่องจากการข่มเหงคริสตจักรในสมัยแรก จดหมายหรือคำสอน ของอัครทูตรวมทั้งพันธสัญญาเดิม ที่คริสเตียนได้คัดลอกไว้จึงเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ครอบครองไว้ เป็นส่วนช่วยให้ได้พระคัมภีร์ที่มีเนื้อหาตรงกับของแท้ เพราะการเก็บพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเป็นอันตายถึงชีวิต จึงมีการเก็บเฉพาะส่วนที่ถูกต้องเท่านั้น และเก็บไว้อย่างดีเลิศมิดชิด จึงไม่มีปัญหาเรื่องฉบับปลอม เพราะในเวลานั้นอัครทูตก็ยังมีชีวิตอยู่ ต่อมาเมื่อมี ค.ศ. 1454 เครื่องพิมพ์ได้ถูกสร้างขึ้น โดยมีสำเนาพระคัมภีร์ถึง 2000 ฉบับ ในการเปรียบเทียบกัน เพื่อสร้างพระคัมภีร์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจัดพิมพ์โดยนาย John Gutenberg เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาได้ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ในยุคของกษัตริย์ King James ในปี ค.ศ. 1611 และต่อมาก็ได้แปลออกเป็นภาษาอื่นๆเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันได้ถูกแปลกว่า 1200 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย

เอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ไบเบิล

พระคัมภีร์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่ยากมากที่หนังสือ 66 เล่มจะมีความสอดคล้องกัน โดยไม่ขัดกันเลยแม้แต่เล่มเดียว โดยที่มีผู้เขียนกว่า 40 คน ที่เกิดในยุคและสมัยแตกต่างกัน พระคัมภีร์อ้างสิทธิอำนาจของการดลใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่กล้าอ้างว่าได้รับการดลใจในการเขียนโดยพระเจ้า 2 ทิโมธี 3:16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม พระ คัมภีร์เป็นหนังสือที่ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขใดๆทั้งสิ้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่ มีการตกหล่นหรือเพิ่มเติมเนื้อหาอย่างแน่นอน เนื่องจากยอห์นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายนั้นได้บอกไว้แล้ว วิวรณ์ 22:18 – 19 ข้าพเจ้า เตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้น ที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย

มีหนังสืออรรถาธิบายมากมาย

พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีผู้เขียนหนังสือเพื่ออธิบาย และตีความหมายเนื้อหาของพระคัมภีร์มากที่สุดในโลก ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่ไม่จำเป็นต้องมีอรรถาธิบายก็สามารถเข้าใจได้ หมดแล้ว พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านได้ทั้งชีวิตพระคัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอ่านจบกี่รอบแล้ว แต่เมื่อมาอ่านใหม่ก็จะได้รับข้อคิดใหม่ๆเสมอ คริสเตียนจะอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อรับการสอนจากพระเจ้า เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีมนุษย์สักคนในโลกที่อ่านพระคัมภีร์หมดจนเข้าใจถี่ถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครที่รู้หมดทั้งเล่ม แม้จะอ่านสักร้อยรอบก็เป็นเรื่องยาก คริสเตียนทุกคนต่างก็ต้องเรียนพระคัมภีร์อยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้อ่านไปตลอดทั้งชีวิตนั่นเอง

เหตุผลที่พระคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้

1. ความตรงไปตรงมา
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ซื่อตรงมาก แม้ความจริงจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม พระคัมภีร์กล่าวว่า ยาโคบ ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชนชาติอิสราเอล เป็นคนหลอกลวง ซึ่งเขาได้หลอกลวงพี่ชายตนเองเพื่อจะได้รับสิทธิบุตรหัวปี
โมเสส ผู้นำชนชาติอิสราเอล เป็นผู้นำที่ไม่มีความมั่นคงและโลเล ก่อนที่โมเสสจะมาช่วยเหลือชนชาติอิสราเอลนั้น โมเสสได้ฆ่าคนแล้วหลบหนีไปยังทะเลทราย นอกจากนั้นโมเสสยังไม่วางใจในพระเจ้า โดยได้ปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้าอยู่หลายหน และยังละเมิดคำสั่งพระเจ้า จนพระเจ้าไม่พอใจเพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชนชาติอิสราเอล จนโมเสสถูกลงโทษไม่ให้มีโอกาสเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา
ดาวิด กษัตริย์ที่ชาวอิสราเอลรักมากที่สุด พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระองค์ได้เอาภรรยาของทหารคนหนึ่งของพระองค์มา และได้วางอุบายให้สามีของนางไปออกรบเพื่อจะได้ถูกฆ่าเพื่อปกปิดความผิดบาป พระคัมภีร์ได้กล่าวโทษคนของพระเจ้าคือชนชาติอิสราเอลว่า เลวร้ายมากยิ่งกว่าเมืองโสโดมและโกโมราห์เสียอีก พระคัมภีร์ยังแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า และยังทำนายถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยปัญหา พระคัมภีร์สอนว่าทางไปสู่สวรรค์นั้นแคบ แต่ทางไปสู่นรกนั้นกว้าง เห็นได้ชัดว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อต้องการ คำตอบสบายๆ หรือง่ายๆ ที่มองศาสนาและธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดีเพียงด้านเดียว

2. การรักษาพระคัมภีร์ไว้ให้เหมือนต้นฉบับเดิม
เมื่อ ประเทศอิสราเอลได้ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่หลังจากได้กระจัดกระจายไปหลายพันปี คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบสมบัติทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้น หนึ่ง เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่เอกสารนี้ได้ถูกซ่อนอยู่ในไหแตก ในถ้ำแห่งหนึ่งทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลตาย นอกจากนี้ยังมีการค้นพบต้นฉบับคัดลอกซึ่งมีอายุเก่ากว่าสำเนา ที่เก่าที่สุดที่มีอยู่ ถึง 1000 ปี ฉบับคัดลอกฉบับหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือฉบับคัดลอกของพระธรรมอิสยาห์ ที่ปรากฎว่าเหมือนกับหนังสืออิสยาห์ในพระคัมภีร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ได้ลบคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ที่เชื่อว่า ต้นฉบับพระคัมภีร์ ได้สูญหายไปกับกาลเวลา และถูกบิดเบือนไป

3. ข้ออ้างในพระคัมภีร์เองว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า
2 ทิโมธี 3:16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม ถ้า ผู้เขียนพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวว่าตนกำลังพูดแทนพระเจ้า เราก็คงจะทึกทักไปเอง แต่ว่าหากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมทางประวัติศาสตร์และจริยธรรม ธรรมดาๆเล่มหนึ่งเท่านั้น และปัจจุบันนี้ก็คงจะไม่มีคริสเตียนและชาวยิวทั่วโลกอยู่เป็นล้านๆคนได้ แต่ว่ามีหลักฐานและข้อโต้แย้งมากมายที่สนับสนุนว่าผู้เขียนได้รับแรงบันดาล ใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์คงจะเป็นหนังสือที่ดีไม่ได้ หากผู้เขียนโกหกเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล

4. การอัศจรรย์ของพระคัมภีร์
การอพยพออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงสำแดงต่อชาว อิสราเอล ถ้าทะเลแดงไม่ได้แยกออกตามในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เดิมก็คงสูญเสียสิทธิอำนาจที่จะกล่าวในนามพระเจ้า พระคัมภีร์ใหม่ก็มีเรื่องราวของการอัศจรรย์ต่างๆเช่นกัน อัครทูตเปาโลยอมรับว่า ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็มีพื้นฐานอยู่บนการหลอกลวงเท่านั้น 1 โครินธ์ 15:14 – 17 ถ้า พระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วยและก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยาน เท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน เพื่อเป็น การยืนยันความน่าเชื่อถือ พระคัมภีร์ใหม่ได้อ้างรายชื่อพยานหลายคนไว้ ซึ่งพยานเหล่านี้อยู่ในช่วงเวลาที่พิสูจน์ได้ด้วย พยานหลายคนยอมสละแม้ชีวิต มิใช่เพื่อศีลธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้หรือเพื่อความเชื่อมั่นฝ่ายวิญญาณ แต่เพื่อคำกล่าวอ้างที่พวกเขายืนยันว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย การ สละชีวิตตนเองเพื่อความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นยอมสละชีวิตของตนเองบนพื้นฐานอะไร คงไม่มีใครยอมตายเพื่อเรื่องที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก

5. เอกภาพของพระคัมภีร์
ผู้เขียน 40 คน ใช้เวลากว่า 1600 ปีเขียนพระคัมภีร์ 66 เล่ม ซึ่งประกอบขึ้นเป็นพระคัมภีร์ แม้จะมีช่วงเวลาในช่วงยุค เงียบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไร (แต่ก็มีบันทึกไว้ในพระธรรมนอกสารบบของคาทอลิก) อย่างไรก็ตามหนังสือปฐมกาลไปจนถึงวิวรณ์ ทุกเล่มต่างก็ให้คำตอบไปในทางเดียวกันต่อคำถามทุกคำถามที่เราสงสัยกันว่า ทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่? เราจะขจัดความกลัวของเราได้อย่างไร? เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้อย่างไร? เราจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร? และอีกหลายๆคำถาม พระคัมภีร์ทุกเล่มได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องกัน แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือหลายเล่ม แต่เป็นเล่มเดียว

6. ความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์
ทุก ยุคทุกสมัยมีคนมากมายที่คลางแคลงใจในความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ของพระ คัมภีร์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นักโบราณคดีสมัยปัจจุบันได้ขุดพบหลักฐานของบุคคล สถานที่ และวัฒนธรรมที่ปรากฏในพระคัมภีร์อยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่บันทึกในพระคัมภีร์นั้นน่าเชื่อถือ กว่าข้อสันนิษฐานของบรรดานักวิชาการเสียอีก และนับวันเข้าก็มีการค้น พบหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้น เป็นเรื่องจริง ไม่ว่า ล้อรถม้าของทหารอียิปต์ในทะเลแดง เรือโนอาห์ที่ยอดเขาอารารัต กำมะถันที่เมือโสโดมและโกโมราห์ เป็นต้น

7. ความแม่นยำของคำพยากรณ์
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่บันทึกคำพยากรณ์ไว้มากมายและล้วนแล้วเป็นจริงทั้งสิ้น ตั้งแต่ยุคของโมเสสมาแล้ว พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา โมเสสได้ทำนายว่า อิสราเอลจะไม่สัตย์ซื่อจนทำให้ต้องสูญเสียแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้ และต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่ในที่สุดก็จะรวมตัวกันอีก และกลับมาตั้งถื่นฐานอีกครั้งหนึ่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28 – 31 ) แต่หัวใจ สำคัญของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระสัญญาเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้จะทรงช่วยประชากรของมนุษย์ โลกให้พ้นจากความบาปผิดของเขาทั้งหลาย และในที่สุดจะนำการพิพากษาและสันติสุขมาในวันสุดท้าย

8. ความอยู่รอดของพระคัมภีร์
ตลอด ช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใดเป็นที่รักและเกลียดชังเท่ากับพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีผู้ซื้อ ผู้ศึกษาและอ้างอิงอย่างมากมายเท่ากับหนังสือเล่มนี้ ในขณะที่หนังสือเล่มอื่นๆเป็นล้านๆเล่มได้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบ่อยครั้งผู้ที่ไม่ชอบใจคำสอนของพระคัมภีร์จะไม่ใส่ใจ แต่พระคัมภีร์เองก็เป็นหนังสือที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตะวันตกตลอดมา พระคัมภีร์นั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และไม่มีการสังคายนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหาพระคัมภีร์ทุกตอนตรงกับต้นฉบับจริงๆ

ส่งท้าย
เหตุผล หลายประการเหล่านี้คงจะยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไบเบิลได้เป็น อย่างดี และมีข้อสนับสนุนมากมายที่ยืนยันเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มักจะมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่แค่หนังสือธรรมดาๆทั่วไปอย่างเห็นได้ ชัด

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เบเอลเซบูล

เบเอลเซบูล

เบเอลเซบูล หรือเจ้าแห่งแมลง เป็นชื่อที่พวกฟาริสีกล่าวหาว่าพระเยซูคริสต์ขับผีออกโดยอำนาจของเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นเจ้าของหรือหัวหน้าปีศาจ

เบเอลเซบูลเป็นชื่อที่ชาวยิวใช้เรียกซาตาน และใช้ล้อเลียนดูถูกพระบาอัล ซึ่งเป็นพระต่างชาติที่ล่อลวงอิสราเอลติดตามไปหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ถูกการตีสอนจากพระเจ้า

ชื่อเบเอลเซบูล ba’ al z bul เป็นเจ้าของปีศาจ เป็นพระเจ้าแห่งเมืองเอโครนที่ชาวเมืองนี้นับถือ โดยช่วยป้องกันแมลงที่แพร่เชื้อโรคอยู่แถบนั้น จากสมมุติฐานในภาษาฮีบรู ba’ al z bul ตัว L ตัวสุดท้าย ย่อมาจาก Zebul ซึ่งแปลว่า มูลสัตว์ จึงสรุปได้ว่า เบเอลเซบูลเป็นเจ้าแห่งความโสโครก หรือนายของปีศาจ

แต่พระคริสต์กล่าวตอบโต้พวกฟาริสีว่า หากพระองค์ขับผีออกโดยเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นนายผีแล้วออก ก็หมายถึงพวกผีมีความแตกแยกกันเองแล้วซิ เพราะพระองค์กำลังขับพวกมันเอง หากพระองค์เป็นพวกเดียวกับมัน แต่ว่าหากพระองค์ขับผีออกด้วยฤทธิ์เดชพระวิญญาณ ความยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ “แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว”

ลักษณะแผ่นดินของพระเจ้าที่พระคริสต์กล่าว หมายถึง ให้น้ำพระทัยของพระเจ้าครอบครองปกครองในความคิดและชีวิตของผู้นั้น ยินยอมให้พระเจ้าสถิตในผู้นั้น และสังคมคริสเตียน ผู้เชื่อในโลกสำเร็จดังที่เสร็จสิ้นในสวรรค์ ชีวิตที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ เพราะ ยอห์นให้คนไปถามพระคริสต์ว่าท่านเป็นผู้นั้นที่จะมาหรือ (คือผู้ที่คำพยากรณ์ ในพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงพระองค์) และพระองค์ทรงตรัสว่า หากคนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น คนตายแล้วพระองค์ทรงทำให้ฟื้น นั่นแหละแผ่นดินพระเจ้า ทรงมาถึงโลกนี้แล้ว

ท่านไม่ต้องอยู่นโลกแห่งการพ่ายแพ้อีกต่อไป อย่าให้ชีวิตอยู่ในความกลัวอีก เพราะเมื่อแผ่นดินพระเจ้ามาถึงแล้ว ท่านเลือกเองได้ เลือกที่จะชนะ เลือกที่จะหาย อย่าให้บาดแผลในอดีตมาเป็นอุปสรรคของชีวิต เพราะท่านมีชีวิตเพื่อวันนี้ วันนี้เป็นของขวัญของท่าน

บทเรียนน่าคิดว่า อย่าให้เบเอลเซบูลโผล่ออกมาจากความคิด ชีวิตประจำวัน แต่ให้แผ่นดินสวรรค์มาตั้งอยู่โดยการยอมจำนนความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระคริสต์ และฤทธิ์อำนาจแห่งการเยียวยาเข้ามารักษา ปลดปล่อยท่าน เพียงแต่เข้าใจก่อนว่า พระองค์ทรงอยู่ข้างท่าน และพระองค์มาเพื่อรักท่าน ไม่ใช่มาเพื่อต่อต้านท่าน แต่มาเพื่อทำให้ท่านหายดีและปกติ ท่านต้องคิด ตั้งใจที่จะหาย และเป็นไท มันเริ่มที่ความคิดก่อนครับ
เขียนโดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล

เมื่อท่านประสบความสำเร็จ

เมื่อท่านประสบความสำเร็จ

อีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว แปดเดือนที่ผ่านมาบางคนอาจจะคิดว่าตนเองทำงานยังไม่เต็มที่, ไม่เป็นที่น่าพอใจ, ไม่ค่อยตรงเป้าเท่าไร อาจเกิดความท้อแท้ อยากเปลี่ยนงานที่ทำให้เจริญมากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้าม บางท่านอาจรู้สึกพึงพอใจในผลงานของเดือนที่ผ่านมา และบางท่านอาจไม่ค่อยชอบงานที่ทำก็ได้ ใช่ไหมครับ…

มีคำกล่าว่า “จงหางานที่เรารัก ไม่ก็ให้รักงานที่เราทำ” สนุกกับมัน ทำความเข้าใจกับมัน ค้นหาประโยชน์ พระพร และคุณค่าของงานที่เราทำ แน่นอนหากเราเข้าใจจุดนี้ เราจะสามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้เสมอ ขณะที่เราทำงาน ยังไง วันนี้ให้เรามาคิดถึงคุณค่าของความคิด ท่าทีที่มีต่อการทำงาน และการรับใช้ของเราสัก 3 ข้อ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจ และช่วยท้าทายในการดำเนินชีวิตในปีใหม่นี้

1. มันเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้นเอง
อย่ายึด หรือภูมิใจ ติดกับความสำเร็จที่ผ่านมามากเกินไป ให้ตระหนักว่ามันเป็นเพียงก้าวแรกแห่งการเริ่มต้นในงานที่ยิ่งใหญ่ ที่เราต้องพบอีกในภายหน้า มีคนถามธอร์วาลเซน ปฏิมากรผู้มีชื่อเสียงชาวเดนมาร์กว่า “คุณคิดว่างานชิ้นไหนครับที่เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ” เขาตอบทันทีว่า “ยังไม่ได้ทำครับ ผมคิดว่าชิ้นต่อไปนี้แหละ” เปาโลยึดถือเสมอว่า “ข้าพเจ้าไม่ถือว่า ข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” (ฟป.3:13)

2. ทุกอย่างมีวาระ
“แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน” (ปญจ.9:11) ใช่ว่าเราจะตกต่ำ ผิดพลาด ผิดหวังตลอดไป แต่ให้เราเตรียมพร้อมที่พบกับความสำเร็จที่จะมาถึงเช่นกัน ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้จักชายคนหนึ่ง เขาประกอบธุรกิจล้มเหลวในปี 1831, พ่ายแพ้การเลือกตั้งปี 1832, ธุรกิจล้มเหลวอีกในปี 1833, ได้รับเลือกเข้าสภาปี 1834, คนรักตายปี 1835, เป็นโรคประสาทเสื่อมปี 1836, พ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นประธานสภาปี 1838, ไม่ได้เข้ารับเลือกตั้งปี 1840, ไม่ได้เป็นพนักงานที่ดินปี 1843, ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาคองเกรสปี 1845, ไม่ได้เลือกเข้าสภาซีเนตปี 1855, ไม่ได้เป็นรองประธานาธิบดีปี 1856, แต่ต่อมาในปี 1860


บุรุษผู้นั้นคือ อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครับ 30 ปี แห่งความอดทน เพียรมานะ พยายามและรอคอย อย่าคิดว่าหมดหวัง พระเจ้าไม่อวยพร โมเสสเองซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และสัตย์ซื่อ กว่าจะเป็นผู้ทำงานใหญ่ได้ ต้องไปเลี้ยงแกะถึง 40 ปี

3. อย่าลืมความยินดี
สมัยที่มาร์ติน ลูเธอร์ยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นคนที่มีใบหน้าเศร้าหมองมาก เนื่องจากการต่อสู้เพื่อความเชื่อของท่านและถูกต่อต้าน” ภรรยาของท่านได้เห็นท่านมีใบหน้าเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลานั้น วันหนึ่ง เธอจึงแต่งชุดดำ ลูเธอร์จึงถามเธอว่า “ทำไมเธอจึงแต่งชุดดำ” เธอตอบว่า “เธอไว้ทุกข์ให้กับพระเยซู เพราะพระองค์ตายเสียแล้ว” ลูเธอร์ตกใจมาก กล่าวตอบว่า “พระเยซูทรงพระชนมอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เธอควรจะปิติยินดีต่างหาก” ภรรยาท่านจึงตอบว่า “แล้วทำไมใบหน้าของเธอจึงเศร้าหมองนัก เหมือนกับว่าพระเยซูตายเสียแล้ว” ลูเธอร์คิดได้ จากนั้นท่านก็เปลี่ยน มีใบหน้าที่สดใสและเต็มไปด้วยความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ และช่วยเราได้ในทุกสิ่ง
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าของย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” (ฟป.4:4)
เขียนโดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล

จงขอบพระคุณในทุกกรณ๊

จงขอบคุณทุกกรณี (1ธส. 5:7)
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะแสดงความขอบคุณได้อย่างชัดเจนเท่ามนุษย์ โต๊ะ, เก้าอี้, บ้าน คงไม่ขอบคุณผู้เช็ดถูกวาดให้นะครับ แต่สิ่งที่จะตอบสนองความดีและพระคุณด้วยมีจิตสำนึกอันสูงส่ง คงมีแต่มนุษย์นี่แหละครับ โดยเฉพาะคนที่เป็นบุตรพระเจ้า

ในงานเลี้ยงฉลองของบริษัทยักษ์ใหญ่ในเรื่องหัวอาหารหมูแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าภาพได้เชิญหุ้นส่วนทั่วประเทศมาร่วมฉลองในผลกำไรสูงสุดรอบ 5 ปี ในงานเลี้ยงมีตั้งแต่พ่อค้า, กสิกร, นักธุรกิจ มาร่วมงานกันอย่างครึกครื้น

แต่มีโต๊ะหนึ่งที่มีนักธุรกิจคนหนึ่ง ได้นั่งกับลุงชาวชนบทมีอาชีพเลี้ยงหมู ก่อนรับประทานอาหารแกได้เริ่มหลับตาอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหารให้ พอนักธุรกิจเห็นเข้าก็หัวเราะดังลั่นและพูดว่า “ลุงไม่ทันสมัยเสียเลย มาเชื่อเรื่องบ้าบอ ขอบคงขอบคุณอะไรกัน อย่าทำตัวเคร่งศาสนามากเลย” แต่พอลุงอธิษฐานเสร็จก็หันมาที่นักธุรกิจแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มเจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องกับพระเจ้า คิดถึงพระคุณของพระองค์ ขอบคุณที่ทรงประทานอาหารให้ อย่าให้เหมือนหมูที่บ้านลุงเลย เวลาเอาอาหารให้มัน มันก็ยังไม่ขอบคุณลุงเลย”

บางครั้งเรามักลืมขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าสภาพเช่นไร จงขอบคุณทุกกรณี นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ในเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ สับสน แต่ขอให้ขอบคุณเถิดครับ เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง ที่บ่นไปแล้วแต่ว่าผลแห่งปัญหาอุปสรรคกลับกลายเป็นพระพรตามมา

ในปี 1981 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ในช่วงกลางเทอม รู้สึกว่าตัวเองปวดศีรษะมาก ขณะเรียนจึงไปตรวจสายตา ซึ่งทางร้านบอกว่าต้องตัดแว่น เพราะตาด้านซ้ายเอียง แต่ด้านขวาสั้น ข้าพเจ้าไม่ยอมตัดแว่น พอกลับมาถึงที่พักก็ได้อธิษฐานขอต่อพระเจ้า ให้พระองค์รักษา และไม่อยากใส่แว่นด้วย บุคลิกคงไม่ให้ และไม่มีเงิน อีกทั้งไม่ชอบด้วย แต่รู้สึกว่ามันยิ่งเจ็บมากขึ้นทุกวัน จนสัปดาห์ต่อมา ผมจึงจำยอมด้วยความขมขื่นที่ต้องตัดแว่นใส่

จนต่อมาปี 1983 ปลายเดือนมีนาคมขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถเมลล์ไม่รู้ว่าวันนั้นคิดอะไร ไปนั่งหน้าสุดใกล้คนขับ พอรถแล่นไปถึงหน้าโรงแรมนารายณ์แถวสีลม ยังไม่ทันตั้งตัวเลยครับ เสียงกระจกดัง “เปรี้ยง” เศษกระจกกระเด็นติดหู ติดผมของผม เต็มไปหมดเพราะรถเมล์ชนกับรถกระบะคันหน้าเข้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าใส่แว่นตา มันช่วยไม่ให้เศษกระจกเข้าตาผมเลย มันน่าดีใจจริงๆ ผมรีบขอบคุณพระเจ้าใหญ่เลยครับ ที่พระองค์ให้มีแว่นตาช่วยป้องกันเศษกระจกมากมายได้

แต่ก็มีเรื่องน่าเสียใจที่ว่าเมื่อ 2 ปีก่อนผมไม่น่าบ่นเลย น่าจะขอบคุณพระเจ้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว นี่แหละนะความผิดพลาดที่ไม่ยืนหยัดในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า … จงขอบคุณทุกกรณี ท่านขอบคุณพระเจ้าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือยังครับ จงเริ่มต้นขอบคุณพระเจ้าเถิดครับ แล้วสันติสุขของพระเจ้าจะคุ้มครองจิตใจ เพราะพระองค์มีแผนการณ์ที่ดีสำหรับลูกของ
พระองค์
เรียบเรียง โดย เจริญ ยธิกุล

การให้คุณค่า

การให้คุณค่า

ตามที่จำได้ว่ามีหมอคริสเตียนท่านหนึ่งชื่อ หมอชไวเดอร์ ท่านกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ นักเทศน์เดินมาเห็นเพราะหมอเป็นสมาชิกคริสตจักรของท่านนักเทศน์ถาม หมอทำอะไรอยู่ หมอตอบรดน้ำต้นไม้ นักเทศน์ถามต่อทันที เดี๋ยวพระเยซูเสด็จกลับมารับหมอจะทำอะไร? หมอตอบ พระเยซูมาก็เป็นเรื่องของพระองค์ ผมก็จะรดน้ำต้นไม้ต่อ คุณได้รับบทเรียนจากเรื่องนั้อย่างไร?

การให้คุณค่าสิ่งที่ทำ หรือรู้เป้าหมายสิ่งที่กำลังรับผิดชอบ เราทุกคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบ แต่เราต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เราทำนั้น เรารู้ว่ามีคุณค่า มีเป้าหมาย จุดประสงค์แม้พระคริสต์เสด็จมาเมื่อใหร่ เราก็ยังคงทำต่อไปเพราะเราทำตามที่พระองค์ทรงกำหนด หรือเป็นหน้าที่ในชีวิตประจำวัน เพราะเรารู้คุณค่า และมีเป้าหมาย ไม่ใช่ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้คุณค่า

ดังพระองค์ทรงยกเรื่องคำอุปมาที่บ่าวบอกกับนายว่า ข้าพเจ้าทำตามหน้าที่ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และเป็นบ่าวไม่มีบุญคุณต่อนาย เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าจะไม่ชกลม ดังนี้อย่าให้เรา เบื่อตัดพ้อ ในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอยู่ แม้ว่าจะไม่ดีรับความเป็นธรรมเพราะความผิดของผู้อื่นหรือใคร ปฏิญาณเลยว่าจะไม่ให้ ใจหรือปาก ทำบาป ผิดพลาด เพราะตอบโต้คนที่ทำผิดต่อเราแม้เราถูก ในสายพระเนตร เราอาจไม่เป็นที่พอพระทัย การเจิมก็จะสิ้นสุดลง เพราะเราตามใจเนื้อหนัง ของเรา

หลายครั้งเรามักจะถอดใจ หรือบ่น หรืออ่อนระอา ผมอยากท้าทายว่าหากต่อหน้าพระคริสต์ พระองค์อาจถามเราว่า เจ้าอดทนจนถึงที่สุดแล้วหรือไม่ เรารักเขามากจนถึงที่สุดหรือไม่ เจ้าให้โอกาสเขามากที่สุดหรือไม่

เราจะตอบว่าอย่างไร? นี่เอง เราต้องปฎิญาณกับตัวเองว่า จนถึงที่สุด จะป็นคำที่เราให้การกับพระเจ้าว่า ถึงที่สุดแล้วพระเจ้าข้า

ทั้งสองตอนนี้เกี่ยวกันอย่างไร เพราะผมกำลังบอกว่าสิ่งที่เผชิญอยู่นี้ เราสามารถรู้คุณค่า และทำอย่างมีเป้าหมาย และจะรัก จะทนจนถึงที่สุด หากวันพิพากษา เราจะบอกกับพระองค์และพระองค์ก็เห็นว่า เรารัก จนถึงที่สุดจริงๆ เพราะ พระเจ้าทรงรักผู้ที่รู้จักพระองค์ และพระองค์จะให้เราอดทนอีกทั้งจะให้เรามีช่องทางหลีกเลี่ยงได้
(1คร8:3,8:13)

เรียบเรียง โดย เจริญ ยธิกุล

การข่มเหงและการเกิดผล

การข่มเหงและการเกิดผล

ประมาณปี คศ.62 กรุงโรมปกครองโดยกษัตริย์เนโร กษัตริย์องค์นี้อ่อนแอมาก ตามประวัติศาสตร์เล่ากันว่า ท่านได้ฆ่ามารดาของตน และท่านถูกตัดอวัยวะเพศทิ้ง และมารดาของท่านก็เกลียดชังลูกสะใภ้ ท่านคงจะเป็นโรคประสาทด้วย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

ที่ร้ายกว่านั้นท่านมีความคิดแปลกๆ คือท่านได้คิดจะเผากรุงโรมและคิดจะสร้างใหม่ แต่ประชาชนได้ลุกฮือขึ้นต่อต้าน เพราะความเดือดร้อนที่บ้านเมืองถูกไฟเผา ต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยใจเคียดแค้นและด้วยความเกลียดชัง แต่แล้วกษัตริย์เนโรซึ่งเกลียดชังคริสเตียนอยู่แล้วในช่วงนั้น จึงโยนความผิดให้พวกคริสเตียน โดยอ้างว่าพวกเป็นคนเผา เหตุนี้เองจึงมีการจับคริสเตียนมาลงโทษ โดยจับปล่อยไว้กลางสนามกีฬา แล้วปล่อยสิงโตที่อดอาหารมาหลายๆ สัปดาห์ให้ออกมากัดกิน ท่ามกลางการชมอย่างสนุกสนานของประชาชนชาวโรม คริสเตียนบางคนก็ถูกเผาทั้งเป็นเสมือนเป็นโคมไฟในเวลากลางคืน เพราะการที่ไม่ยอมปฏิเสธว่า พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า อาจารย์เปาโลกับท่านเปโตรก็ตายในสมัยกษัตริย์องค์นี้ปกครองแหละครับ

จากจุดนี้เอง จีงสร้างความแปลกใจให้กับประชาชนและที่ราชการของกษัตริย์เนโรมาก เพราะขณะที่คริสเตียนถูกสิงโตกิน พวกเขาเกาะกลุ่มกันร้องเพลงนมัสการสรรเสริญพระเจ้า เสียงเพลงดังก้องไปทั่วสนามกีฬา

ข้อคิดในเรื่องนี้คือ ทุกยุคทุกสมัย คริสเตียนพบกับปัญหาเผชิญกับอุปสรรคและความตายเสมอ แต่ยิ่งถูกข่มเหง คริสตชนผู้เชื่อก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไม่เคยหยุด เช่นกันแม้จะมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่เสียงสรรเสริญที่เปล่งในจิตวิญญาณของเราไม่ควรดับไป

อย่าให้อุปสรรคปัญหาที่เล็กน้อยมากในสมัยของเรานี้ไม่ถีงกับเลือดตกยางออก หรือต้องชีวิตถีงตาย เหมือนผู้เชื่อในอดีต อย่าให้เราท้อแท้และละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าไปเสียเพราะสิ่งที่เราจะได้มีค่าและมีความหมายสูงส่งกว่า ความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา คือชีวิตนิรันด์ ชีวิตที่หมดจากเวรกรรม สันติสุขแท้ที่ไม่เหมือนโลกให้
เขียนโดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล

เธอเป็นคนพิเศษ

เธอเป็นคนพิเศษ
เขียนโดย แมกซ์ ลูคาโด
พอดีได้อ่านหนังสือเรื่องวิญญาณการถูกปฏิเสธ ของจอห์นพอล แจ็คสัน และท่านได้ยกตัวอย่าง ละครแนวอุปมาอุปมัย เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการมีคุณค่าของตัวเราเอง ผมจึงได้แปล เพื่อจะได้เป็นกำลังใจ แก่คนที่รู้สึกว่าตัวเองแย่ แท้จริงหนังสือของแมกซ์ ลูคาโดมีหลายเรื่อง นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้กำลังใจพี่น้องทุกท่าน ลองอ่านดูนะครับ

เว็มเม็กซ์คือหุ่นไม้รูปคนตัวเล็ก ๆ หุ่นทุกตัวถูกแกะสลักโดยช่างแกะไม้ชื่อ เอลี เขาอยู่ที่บนภูเขานอกหมู่บ้าน หุ่นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน บางตัวก็มีจมูกใหญ่ บางตัวก็มีตาโต บางตัวก็สูง บางตัวก็เตี้ย บางตัวสวมหมวก บางตัวสวมเสื้อคลุม แต่ทุกตัวถูกสร้างขึ้นโดยช่างไม้คนเดียวกัน และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เว็มเม็กซ์ทุกตัวจะมีกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปดาวสีทอง และกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปจุดสีเทา และทุก ๆ วัน หุ่นเหล่านี้จะทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ พวกมันจะติดสติ๊กเกอร์ให้กันและกัน ทุกคนสามารถมองเห็นสติ๊กเกอร์รูปดาวหรือรูปจุดที่ติดอยู่บนตัวของแต่ละคนได้

ตัวที่สวยหน่อย เนื้อไม้เรียบลื่นและทาสีสวยงาม ก็มักจะได้สติ๊กเกอร์รูปดาวเสมอ แต่ตัวที่เนื้อไม้ไม่เรียบและสีหลุดลุ่ยก็จะได้สติ๊กเกอร์รูปจุด ตัวที่มีความสามารถพิเศษก็จะได้รับดาวด้วยเหมือนกัน บางตัวยกไม้ท่อนใหญ่ให้สูงเหนือศรีษะได้ หรือกระโดดข้ามกล่องสูง ๆ ได้ บางตัวก็รู้จักคำศัพท์ยาก ๆ หรือร้องเพลงไพเราะ ทุกตัวเหล่านี้จะได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาว

เว็มเม็กซ์บางตัวได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาวเต็มตัวไปหมด และทุกครั้งที่เขาได้รับรูปดาว พวกเขาก็รู้สึกดี และยิ่งทำให้เขาทำดีอีก และได้รับดาวเพิ่มขึ้นอีก ที่เหลือมีความสามารถนิดหน่อยก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุด
พันชินเนลโล คือหนึ่งในตุ๊กตาพวกหลัง เขาพยายามกระโดดให้สูงเหมือนตัวอื่น แต่เขาก็ล้มลงทุกครั้ง และเมื่อเขาล้มลง ตุ๊กตาตัวอื่นก็จะมามุงดูเขาและติดสติ๊กเกอร์รูปจุดให้แก่เขา

และบางครั้งเมื่อเขาล้ม มันทำให้เนื้อไม้ของเขาชำรุดด้วย และทุกคนก็เอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาเพิ่มให้เขาอีก เขาพยายามอธิบายว่าทำไมเขาล้มลง แต่เขาก็มักจะพูดโง่ ๆ ออกไป ไม่นาน เขาก็มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเต็มไปหมด จนเขาไม่อยากออกนอกบ้านอีกเลย เพราะเขากลัวว่าเขาจะทำเรื่องโง่ ๆ อีก เช่น ลืมหมวก หรือสะดุดหกล้ม และจะทำให้คนอื่นเอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาติดเพิ่มให้เขาอีก ที่จริงเขาได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดมากจนเว็มเม็กซ์ที่เดินผ่านมาเจอเขาก็จะติดสติกเกอร์ให้เขาทันทีโดยไม่มีเหตุผล เพราะว่า “เขาสมควรจะได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดเยอะ ๆ เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดี”

ไม่นาน พันชินเนลโลก็เชื่อพวกเขาและพูดกับตัวเองว่า “ฉันเป็นหุ่นไม้ที่ไม่ดี” เวลาที่เขาออกไปข้างนอก เขาก็มักจะเข้ากลุ่มกับเว็มเม็กซ์ที่มีจุดเยอะ ๆ เหมือนเขา เขารู้สึกดีที่จะอยู่กับหุ่นไม้ที่เหมือนกันเขา
วันหนึ่ง เขาพบเว็มเม็กซ์ตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนตัวอื่นที่เขาเคยพบมาก่อน เธอไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดหรือดาวเลย เธอก็เป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่งเหมือนกับเขา เธอชื่อว่า ลูเซีย ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามจะติดสติ๊กเกอร์ให้กับเธอ แต่สติ๊กเกอร์เหล่านั้นติดไม่อยู่และหลุดหมด มีบางคนชื่นชมลูเซียที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเลย พวกเขาจึงวิ่งมาจะให้สติ๊กเกอร์รูปดาวกับเธอ แต่สติ๊กเกอร์นั้นก็จะหลุดลงมา บางคนก็ดูถูกเธอที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปดาว พวกเขาจึงอยากให้สติ๊กเกอร์รูปจุดแก่เธอ แต่มันก็ไม่ติดเหมือนกัน พันชินเนลโลจึงคิดในใจว่า “ฉันก็อยากจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” ดังนั้น เขาจึงถามเว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ว่า “ฉันไม่อยากได้สติ๊กเกอร์ของใคร ๆ เหมือนกัน เธอทำยังไงน่ะ” ลูเซียตอบว่า “ง่ายมาก ทุก ๆ วันฉันจะไปหาเอลี”

“เอลีหรือ?” “ใช่ เอลีช่างไม้ไงล่ะ ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาทุกวัน” “ทำไม?” “ทำไมเธอไม่ไปหาคำตอบด้วยตัวเธอเองล่ะ? ขึ้นไปบนภูเขาสิ เขาอยู่ที่นั่น”

จากนั้น เว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป “แต่ถ้าเขาไม่อยากจะเจอฉันล่ะ?” พันชินเนลโลตะโกนถาม แต่ลูเซียไม่ได้ยิน ดังนั้น พันชินเนลโลจึงกลับบ้าน เขานั่งใกล้หน้าต่าง และมองดูพวกหุ่นไม้ที่เดินเข้าหากันและกันและให้สติ๊กเกอร์แก่กันและกัน “นี่มันไม่ถูกต้องเลย” เขารำพึงกับตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาเอลี เขาเดินไปตามทางแคบ ๆ ไปยังยอดเขาและเข้าไปยังบ้านของช่างไม้ แล้วตาของเขาก็เปิดกว้างเมื่อมองเป็นทุกสิ่งในนั้นมีขนาดใหญ่โตมาก เก้าอี้มีขนาดสูงเท่ากับตัวเขา เขาต้องยืนเขย่งขาขึ้นเพื่อที่จะมองเห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะ มีขวานที่มีขนาดยาวเท่ากับแขนของเขา พันชินเนลโลกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แน่!” แล้วเขาก็หันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา

"พันชินเนลโล?" เสียงนั้นนุ่มลึกและมีพลัง พันชินเนลโลหยุดเดิน “พันชินเนลโล! ดีใจจริง ๆ ที่เจอเจ้าที่นี่ มานี่มา มาให้ดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย” พันชินเนลโลหันกลับมาช้า ๆ และมองไปที่ช่างไม้ร่างใหญ่ที่มีหนวดเครา “คุณรู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ?” เว็มเม็กซ์ตัวน้อยถาม

"แน่นอนสิ เรารู้จักจัก เราสร้างเจ้ามา" เอลีก้มลงและอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “อืม..” เอลีกล่าวขึ้นมาอย่างใคร่ครวญและมองเขาด้วยอย่างสำรวจที่สติ๊กเกอร์รูปจุดสีเทา “ดูเหมือนเจ้าได้รับเครื่องหมายที่ไม่ค่อยดีเยอะเลยนี่” “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ เอลี ผมพยายามแล้ว” “โอ้ เจ้าไม่ต้องอธิบายกับเราหรอก ลูกรัก เราไม่สนใจหรอกว่าเว็มเม็กซ์ตัวอื่น ๆ พูดถึงเจ้าอย่างไร” “คุณไม่สนหรือครับ?”

“ไม่เลย และเจ้าก็ไม่ควรสนใจด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นใคร ที่จะมาเที่ยวให้ดาวหรือจุดกับใคร ๆ ? พวกเขาก็เป็นเพียงหุ่นไม้เหมือนกับเจ้า พวกเขาคิดยังไงก็ไม่สำคัญหรอก พันชินเนลโล สิ่งที่เราคิดต่างหากที่สำคัญ และเราก็คิดว่าเจ้าเป็นหุ่นที่พิเศษมาก”

พันชินเนลโลหัวเราะ “ผมน่ะเหรอครับ พิเศษ? ทำไมล่ะครับ? ผมวิ่งก็ไม่เร็ว กระโดดก็ไม่สูง สีของผมก็หลุดลอก แล้วผมจะพิเศษสำหรับคุณอย่างไร?”

เอลีมองพันชินเนลโล เขาเอามือวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเจ้าหุ่นไม้ตัวเล็ก และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นของเรา ดังนั้นเขาจึงสำคัญสำหรับเรา”

ไม่เคยมีใครมองพันชินเนลโลอย่างนี้มาก่อน เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
"ทุกวัน เราเฝ้าหวังว่าเจ้าจะมา” เอลีกล่าว “ผมมาเพราะว่าผมเจอหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่ไม่มีสติ๊กเกอร์”
"เรารู้แล้ว เธอเล่าเรื่องที่เจอกับเจ้าให้เราฟัง"
"ทำไมสติ๊กเกอร์ถึงไม่ติดบนตัวเธอล่ะครับ?"
"เพราะว่าเธอเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดสำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดน่ะสิ สติ๊กเกอร์มันจะติดอยู่ที่ตัวเธอได้เพราะว่าเธออนุญาตเท่านั้น”
"อะไรนะ?"
"สติ๊กเกอร์สามารถติดบนตัวเธอได้ถ้าเธอคิดว่ามันสำคัญสำหรับเธอ แต่ถ้าเธอวางใจในความรักของเรามากเท่าไหร่ เธอก็จะสนใจเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์น้อยลงเท่านั้น”
"ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจ"

"เจ้าจะเข้าใจ แต่มันต้องใช้เวลา เจ้ามีสติ๊กเกอร์และบาดแผลมาก ดังนั้น จากนี้ไป จงมาหาเราทุกวัน และให้เราได้ทำให้เจ้าได้รู้ว่าเราสนใจเจ้าแค่ไหน” เอลีอุ้มพันชินเนลโลลงจากเก้าอี้ “จำไว้นะ” เอลีกล่าวขณะที่พันชินเนลโลก้าวออกจากประตู “เจ้าเป็นคนพิเศษ เพราะว่าเราสร้างเจ้ามา แล้วเราไม่ได้สร้างเจ้ามาผิดพลาด”

พันชินเนลโลเดินจากไปพร้อมกับคิดว่า “ฉันคิดว่าเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ” แล้วทันใดนั้น สติ๊กเกอร์รูปจุดก็ล่วงหล่นลงพื้น