วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทความจากนาซ่า

บทความ โลกจะล่มสลายในปี 2012 เรื่องจริง จาก นาซ่า

เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASAได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการ พลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์

แต่จากการศึกษา ร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่ เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้ สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

การ พลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์ หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

โดย ปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวง อาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ
'ฮา รัลด์ เลสช์' (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย 'มิวนิค' ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ 'ฮารัลด์ เลสช์' สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศแต่ทะว่าโลกเรา นั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียร เหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่ เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุ สุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้าง สนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

สิ่ง ที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่ เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง
คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อ โลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................

เอกสาร เซอร์ไอแซค

เอกสารลับ เซอร์ไอแซค นิวตัน

หลาย สิ่ง หลายอย่างที่ยอดอัจฉริยะนักวิทยาศาสตร์โลก "เซอร์ไอแซค นิวตัน" คิดและพูดเอาไว้ล้วนเป็นความจริง พิสูจน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีชื่อเข้าใจยากอย่าง ทวินาม ไฮเปอร์โบลา หรือการคิดค้น "กฎแห่งการเคลื่อนที่" อันลือลั่น ซึ่งเรียกกันสั้นๆ ว่า "กฎ 3 ข้อของนิวตัน" ไปจนถึงทฤษฎีที่คนทั่วโลกทั้งร่ำเรียน ได้ยินติดหูกันมานานหลายร้อยปี เช่น กฎแรงโน้มถ่วงและแคลคูลัส

วันนี้ถ้า "นิวตัน" จะกระตุกเตือนบอกผ่านเอกสารบันทึกเก่าแก่..
โลกต้องถึงกาลอวสาน แตกดับลงไปภายในอีก 53 ปี..
คุณจะเชื่อหรือไม่..!?

เซอร์ ไอแซค นิวตัน ชาวอังกฤษ อัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ 17 ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์หลายสาขา ทั้งฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ จากโลกนี้ไปแล้ว 280 ปี แต่เอกสาร รวมทั้งบันทึกการค้นคว้า ความนึกคิดต่างๆ ยังคงได้รับการเก็บรักษาอย่างดี ส่วนหนึ่งถูกเก็บอยู่ในตู้นิรภัยของหอสมุดแห่งชาติ กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล

ปัจจุบัน หอสมุดแห่งชาติอิสราเอล ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฮิบรู เยรูซาเล็ม นำ "เอกสารนิวตัน : นิวตัน เปเปอร์ส" ตัวจริงที่เก็บรักษาไว้มาจัดนิทรรศการ "ความลับของนิวตัน" เปิดแสดงให้สาธารณชนได้เห็นกับตาตนเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ภายหลังจากก่อนหน้านี้ มีเพียงนักวิชาการกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่มีสิทธิได้เห็นเอกสารเหล่านี้

"เอกสารนิวตัน" คงอยู่ผ่านความผันแปรแห่งยุคสมัยนับร้อยปี เปลี่ยนมือจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น กระทั่งตกมาอยู่ในความดูแลของหอสมุดอิสราเอล ตั้งแต่ปีค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ศาสตราจารย์ยามินา เบน เมนาเชม จากภาควิชาปรัชญา ม.ฮิบรู ผู้ทำหน้าที่บอกเล่าความเป็นมาของเอกสารชุดนี้ กล่าวว่า

หลัก ที่นิวตันใช้พยากรณ์ "วันสิ้นโลก" หรือ "วันโลกแตก" และบันทึกไว้ในเอกสารเมื่อปีค.ศ. 1704 (พ.ศ. 2247) นั้น ไม่ได้ใช้หลักตรรกะทางคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ แต่เป็นการถอดรหัส ไขปริศนาถ้อยคำที่เขียนอยู่ใน "พระธรรมดาเนียล" ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (ไบเบิล)

โดย เฉพาะ อย่างยิ่งการถอดรหัสพระธรรมดาเนียล บทที่ 12 ซึ่งนิวตันตีความ ว่า โลกจะถึงคราวดับสูญภายหลังจาก "จักรวรรดิโรมัน" ก่อตั้งครบ 1,260 ปีโดยประมาณ เมื่อคำนวณดูแล้วจึงเท่ากับ โลกมนุษย์จะต้องแตกในปีค.ศ. 2060 (พ.ศ. 2603) หรือภายในเวลาอีกแค่ 53 ปีนับจากนี้

"โลก อาจดับสูญ หลังจากนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นถึงเหตุผลใดที่โลกจะพบจุดจบเร็วกว่านั้นเช่นกัน "สิ่งที่ข้าพเจ้าอ้างถึงไปนี้มิได้หมายมั่นจะยืนยันว่าวันสิ้นโลกจะมาถึง เมื่อไร "แต่ทำไปเพื่อต้องการหยุดกลุ่มคนเพ้อฝันที่ชอบทึกทักทำนายวันสิ้นโลกขึ้นมาเองอยู่บ่อยๆ

" กระทั่ง ทำให้คำทำนายอันศักดิ์สิทธิ์ต้องเสื่อมเสียไร้ความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปตาม คำทำนายผิดๆ ทั้งปวง" นิวตัน เขียนถึงเหตุผลที่ตัดสินใจพยากรณ์วันโลกแตกด้วยตนเอง

ศ.ยา มินา อธิบายว่า ในเอกสารยังมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า นิวตันมีความเชื่อในศาสนาอย่างลึกซึ้ง แม้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ตามหลักแล้วจะเชื่อเฉพาะในสิ่งที่พิสูจน์ได้

โดยบันทึกหัวข้อหนึ่ง นิวตันศึกษารายละเอียดโครงสร้างของวิหารยิวในเยรูซาเล็มอย่างเจาะลึกทุกมิติ
เพราะ เชื่อว่าวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนโครงสร้างจักรวาลอันไพศาล จากการตรวจสอบเอกสารพบพื้นเพความมุ่งมั่นทางวิทยาศาสตร์ของนิวตัน มีแรงผลักดันมาจากศาสนานั่นเอง นั่นเพราะเขาต้องการใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ว่าพระเจ้า ทรงทำอะไรกับโลกของเราบ้าง

ตามความเข้าใจของนิวตัน การเข้าถึงพระองค์จึงสามารถกระทำได้ผ่านการศึกษาธรรมชาติและพระคัมภีร์ เพื่อหาหนทางเข้าถึงสัญญาณที่พระองค์ทิ้งเอาไว้ "นิวตันไม่เชื่อในเรื่องของ ตรีเอกภาพ เขาเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น แม้นพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรแห่งพระเจ้า แต่พระเยซูก็ไม่ใช่พระเจ้า..
"นิวตันไม่แสดงความคิดนี้ต่อสาธารณชน เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ศาสนจักรเข้ามาขัดขวางการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของเขา..
"ในยุคสมัยนิวตัน มีผู้คนพูดถึงวันสิ้นโลกกันอย่างกว้างขวาง..

" นิวตันจึงมีความ คิดว่าพระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับวันสิ้นโลกเอาไว้แล้ว มนุษย์ไม่มีอำนาจจะไปเปลี่ยนแปลงหรือพยากรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น" ศ.ยามินา กล่าว

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความผิดพลาด

ผมถึงเรียบร้อยแล้วน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง!

อีเมล์ผิด
เรื่องมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งเพิ่งจะเข้าพักในโรงแรม
เค้าเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่ในห้อง
จึงตัดสินใจส่ง e-mail ให้กับภรรยา แต่เขาดันพิมพ์
e-mail address ของภรรยาผิดไป
และได้ทำการส่ง e-mail นั้นไปโดยที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย!

ในขณะนั้น...ณ. ที่แห่งหนึ่งในฮัสตัน
แม่ม่ายคนหนึ่งเพิ่งจะกลับจากพิธีฝังศพสามี
เธอตัดสินใจเข้าไปตรวจดู e-mail
โดยหวังว่าจะมีข้อความแสดงความเสียใจจากญาติๆ
และเพื่อนฝูงส่งมาให้กำลังใจ หลังจากเธอได้อ่านข้อความแรกจบลง
เธอก็หมดสติ ล้มลงทันที

ลูกชายของเธอก็วิ่งเข้ามาในห้อง เห็นแม่นอนนิ่ง ตาค้างอยู่ที่พื้น
โดยได้จ้องมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ ลูกชายได้เห็นข้อความเขียนไว้ว่า


To : ภรรยาที่รักของผม
Subject : ผมถึงเรียบร้อยแล้วน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง!
Date : 09 พ.ค 2007


ผมรู้ว่า คุณจะต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ที่ได้รับข่าวนี้
ที่นี่มีคอมพิวเตอร์ด้วยล่ะ! และพวกเราก็ได้รับอนุญาตให้ส่ง e-mail
ถึงคนที่เรารักได้หนึ่งคน ผมเพิ่งจะมาถึง และ Checked in เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเพื่อรอต้อนรับคุณที่จะมาถึงในวัน พรุ่งนี้

รัก...คิดถึงเสมอ....รีบมาล่ะ.....พวกเรารออยู่น่ะ


ปล. ถ้าให้ผมรอคุณนานคุณยังไม่มาหาผมสักที คืนนี้ผมจะไปรับคุณเองล่ะนะ ที่รัก !!!!!!!!!!!!

ชีวิตขับเคลื่อน

ชีวิตคุณขับเคลื่อนด้วยอะไร

คัดย่อบางส่วนจาก หนังสือชีวิตที่เคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์ ลองมาดูกันว่าชีวิตคุณใช้อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนกันแน่

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความรู้สึกผิด
พวกเขาใช้ชีวิตวิ่งหนีความเสียใจ และปกปิดความอายไว้ คนที่ถูกความรู้สึกผิดผลักดันจะถูกความทรงจำควบคุม ยินยอมให้อดีตบงการอนาคต และมักจะลงโทษตัวเองโดยไม่รู้ตัว ด้วยการทำลายโอกาสความสำเร็จของตนเอง
เราเป็นผลผลิตของอดีตแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักโทษของมัน พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดโดยอดีตของคุณ พระองค์เปลี่ยนฆาตกรนามว่าโมเสสให้เป็นผู้นำ และเปลี่ยนชายขี้ขาดชื่อ กิเดโอน ให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ... พระองค์ก็เปลี่ยนคุณได้เช่นเดียวกัน

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความแค้นและความโกรธ
พวกเขากำความเจ็บปวดไว้และไม่ยอมลืมมัน แทนที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดด้วยการยกโทษ พวกเขากลับทบทวนมันในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางคนเก็บความแค้นไว้ภายในจนเก็บกด บางคนระเบิดมันออกมาใส่คนอื่น
คนที่ทำให้คุณเจ็บปวดในอดีตไม่สามารถทำให้คุณเจ็บปวดในปัจจุบันได้ อดีตก็คืออดีต กำมันไว้ก็รังแต่จะทำร้ายตัวเองด้วยความขมขื่น ดังนั้นจงเรียนรู้และลืมมันซะ
โยบ 5:2 "แน่ละ ความร้อนใจฆ่าคนโฉด และความริษยาฆ่าคนเขลา"

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว
คนที่ถูกความกลัวผลักดันมักจะพลาดโอกาสสำคัญๆ เพราะกลัวความเสี่ยง เขาเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อน และรักษาสิ่งต่างๆไว้ในสภาพเดิมๆ
ความกลัวคือคุกที่สร้างไว้ขังตนเอง ซึ่งจะขัดขวางคุณไม่ให้เป็นอย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้คุณเป็น คุณต้องสู้กับมันด้วยอาวุธแห่งความเชื่อและความรัก

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยวัตถุนิยม
ความปรารถนาที่จะมีสิ่งของได้กลายเป็นเป้าหมายทั้งหมดของชีวิต แรงผลักดันที่อยากจะมีสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าใจผิดว่ามีมากขึ้นจะทำให้มีความสุข เป็นคนสำคัญ และมั่นคงยิ่งขึ้น
ความจริงก็คือ คุณค่าของคุณไม่ได้ถูกกำหนดโดยของมีค่าที่คุณมี ความมั่งมีสามารถสูญไปในทันทีด้วยปัจจัยหลากหลายที่ควบคุมไม่ได้

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความความต้องการเป็นที่ยอมรับ
พวกเขายอมให้ความคาดหวังของพ่อแม่ คู่ครอง ลูก ครูอาจารย์ เจ้านาย ลูกน้อง หรือเพื่อนๆ ควบคุมชีวิตเค้า บางคนถูกกดดันจากเพื่อนๆ และกังวลอยู่เสมอว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
น่าเสียดาย เพราะคนที่ทำตามฝูงชนมักจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป เคล็ดลับของการล้มเหลวประการหนึ่งคือการพยายามทำให้ทุกคนพอใจ
การถูกความคิดเห็นของคนอื่นควบคุมคือวิธีการอันแน่นอนที่จะพลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ

ยังมีอีกหลายแรงผลักดันที่ขับเคลื่อนชีวิตคุณ หากแรงผลักดันนั้นไม่ได้ดำเนินอยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า ก็ล้วนนำไปสู่ทางตัน

พระคัมภีร์

พระคัมภีร์ไบเบิล หนังสือมหัศจรรย์ The Holy Bible

กำเนิดพระคัมภีร์

ชนชาติอิสราเอลได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า และได้ถูกมอบหมายให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ในประมาณปี 1400 ก่อน ค.ศ. ได้มีการเริ่มเขียนถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดง เริ่มเขียนโดยโมเสสหลังจากที่ได้พบพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย และได้เขียนย้อนหลังไปถึงการสร้างโลก โดยการดลใจของพระเจ้า และได้มีการรวบรวมพระวจนะ ประวัติศาสตร์ คำพยากรณ์ กฎหมาย และอื่นๆอีกมากมาย ตามการดลใจของพระเจ้า หลังจากนั้นก็มีการ ร่วมรวมเข้าเป็นพระคัมภีร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำถึงเล่มสุดท้ายประมาณปี ค.ศ. 96 – 97 ซึ่งเป็นปีที่พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายของยอห์น คือ พระธรรมวิวรณ์ (Revelation of John) ใช้เวลารวบรวมทั้งสิ้น 1600 ปี ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คน มีทั้งสิ้น 66 เล่ม

พระคัมภีร์มาถึงปัจจุบันได้อย่างไร

พระคัมภีร์อยู่มาถึงปัจจุบันได้เนื่องจากการข่มเหงคริสตจักรในสมัยแรก จดหมายหรือคำสอน ของอัครทูตรวมทั้งพันธสัญญาเดิม ที่คริสเตียนได้คัดลอกไว้จึงเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ครอบครองไว้ เป็นส่วนช่วยให้ได้พระคัมภีร์ที่มีเนื้อหาตรงกับของแท้ เพราะการเก็บพระคัมภีร์ในสมัยนั้นเป็นอันตายถึงชีวิต จึงมีการเก็บเฉพาะส่วนที่ถูกต้องเท่านั้น และเก็บไว้อย่างดีเลิศมิดชิด จึงไม่มีปัญหาเรื่องฉบับปลอม เพราะในเวลานั้นอัครทูตก็ยังมีชีวิตอยู่ ต่อมาเมื่อมี ค.ศ. 1454 เครื่องพิมพ์ได้ถูกสร้างขึ้น โดยมีสำเนาพระคัมภีร์ถึง 2000 ฉบับ ในการเปรียบเทียบกัน เพื่อสร้างพระคัมภีร์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจัดพิมพ์โดยนาย John Gutenberg เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาได้ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ในยุคของกษัตริย์ King James ในปี ค.ศ. 1611 และต่อมาก็ได้แปลออกเป็นภาษาอื่นๆเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันได้ถูกแปลกว่า 1200 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย

เอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ไบเบิล

พระคัมภีร์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่ยากมากที่หนังสือ 66 เล่มจะมีความสอดคล้องกัน โดยไม่ขัดกันเลยแม้แต่เล่มเดียว โดยที่มีผู้เขียนกว่า 40 คน ที่เกิดในยุคและสมัยแตกต่างกัน พระคัมภีร์อ้างสิทธิอำนาจของการดลใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่กล้าอ้างว่าได้รับการดลใจในการเขียนโดยพระเจ้า 2 ทิโมธี 3:16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม พระ คัมภีร์เป็นหนังสือที่ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขใดๆทั้งสิ้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่ มีการตกหล่นหรือเพิ่มเติมเนื้อหาอย่างแน่นอน เนื่องจากยอห์นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายนั้นได้บอกไว้แล้ว วิวรณ์ 22:18 – 19 ข้าพเจ้า เตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้น ที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย

มีหนังสืออรรถาธิบายมากมาย

พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีผู้เขียนหนังสือเพื่ออธิบาย และตีความหมายเนื้อหาของพระคัมภีร์มากที่สุดในโลก ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่ไม่จำเป็นต้องมีอรรถาธิบายก็สามารถเข้าใจได้ หมดแล้ว พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านได้ทั้งชีวิตพระคัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอ่านจบกี่รอบแล้ว แต่เมื่อมาอ่านใหม่ก็จะได้รับข้อคิดใหม่ๆเสมอ คริสเตียนจะอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อรับการสอนจากพระเจ้า เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีมนุษย์สักคนในโลกที่อ่านพระคัมภีร์หมดจนเข้าใจถี่ถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครที่รู้หมดทั้งเล่ม แม้จะอ่านสักร้อยรอบก็เป็นเรื่องยาก คริสเตียนทุกคนต่างก็ต้องเรียนพระคัมภีร์อยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้อ่านไปตลอดทั้งชีวิตนั่นเอง

เหตุผลที่พระคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้

1. ความตรงไปตรงมา
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ซื่อตรงมาก แม้ความจริงจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม พระคัมภีร์กล่าวว่า ยาโคบ ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชนชาติอิสราเอล เป็นคนหลอกลวง ซึ่งเขาได้หลอกลวงพี่ชายตนเองเพื่อจะได้รับสิทธิบุตรหัวปี
โมเสส ผู้นำชนชาติอิสราเอล เป็นผู้นำที่ไม่มีความมั่นคงและโลเล ก่อนที่โมเสสจะมาช่วยเหลือชนชาติอิสราเอลนั้น โมเสสได้ฆ่าคนแล้วหลบหนีไปยังทะเลทราย นอกจากนั้นโมเสสยังไม่วางใจในพระเจ้า โดยได้ปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้าอยู่หลายหน และยังละเมิดคำสั่งพระเจ้า จนพระเจ้าไม่พอใจเพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชนชาติอิสราเอล จนโมเสสถูกลงโทษไม่ให้มีโอกาสเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา
ดาวิด กษัตริย์ที่ชาวอิสราเอลรักมากที่สุด พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระองค์ได้เอาภรรยาของทหารคนหนึ่งของพระองค์มา และได้วางอุบายให้สามีของนางไปออกรบเพื่อจะได้ถูกฆ่าเพื่อปกปิดความผิดบาป พระคัมภีร์ได้กล่าวโทษคนของพระเจ้าคือชนชาติอิสราเอลว่า เลวร้ายมากยิ่งกว่าเมืองโสโดมและโกโมราห์เสียอีก พระคัมภีร์ยังแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า และยังทำนายถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยปัญหา พระคัมภีร์สอนว่าทางไปสู่สวรรค์นั้นแคบ แต่ทางไปสู่นรกนั้นกว้าง เห็นได้ชัดว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อต้องการ คำตอบสบายๆ หรือง่ายๆ ที่มองศาสนาและธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดีเพียงด้านเดียว

2. การรักษาพระคัมภีร์ไว้ให้เหมือนต้นฉบับเดิม
เมื่อ ประเทศอิสราเอลได้ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่หลังจากได้กระจัดกระจายไปหลายพันปี คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบสมบัติทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้น หนึ่ง เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่เอกสารนี้ได้ถูกซ่อนอยู่ในไหแตก ในถ้ำแห่งหนึ่งทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลตาย นอกจากนี้ยังมีการค้นพบต้นฉบับคัดลอกซึ่งมีอายุเก่ากว่าสำเนา ที่เก่าที่สุดที่มีอยู่ ถึง 1000 ปี ฉบับคัดลอกฉบับหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือฉบับคัดลอกของพระธรรมอิสยาห์ ที่ปรากฎว่าเหมือนกับหนังสืออิสยาห์ในพระคัมภีร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ได้ลบคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ที่เชื่อว่า ต้นฉบับพระคัมภีร์ ได้สูญหายไปกับกาลเวลา และถูกบิดเบือนไป

3. ข้ออ้างในพระคัมภีร์เองว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า
2 ทิโมธี 3:16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม ถ้า ผู้เขียนพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวว่าตนกำลังพูดแทนพระเจ้า เราก็คงจะทึกทักไปเอง แต่ว่าหากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมทางประวัติศาสตร์และจริยธรรม ธรรมดาๆเล่มหนึ่งเท่านั้น และปัจจุบันนี้ก็คงจะไม่มีคริสเตียนและชาวยิวทั่วโลกอยู่เป็นล้านๆคนได้ แต่ว่ามีหลักฐานและข้อโต้แย้งมากมายที่สนับสนุนว่าผู้เขียนได้รับแรงบันดาล ใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์คงจะเป็นหนังสือที่ดีไม่ได้ หากผู้เขียนโกหกเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล

4. การอัศจรรย์ของพระคัมภีร์
การอพยพออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงสำแดงต่อชาว อิสราเอล ถ้าทะเลแดงไม่ได้แยกออกตามในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เดิมก็คงสูญเสียสิทธิอำนาจที่จะกล่าวในนามพระเจ้า พระคัมภีร์ใหม่ก็มีเรื่องราวของการอัศจรรย์ต่างๆเช่นกัน อัครทูตเปาโลยอมรับว่า ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็มีพื้นฐานอยู่บนการหลอกลวงเท่านั้น 1 โครินธ์ 15:14 – 17 ถ้า พระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วยและก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยาน เท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน เพื่อเป็น การยืนยันความน่าเชื่อถือ พระคัมภีร์ใหม่ได้อ้างรายชื่อพยานหลายคนไว้ ซึ่งพยานเหล่านี้อยู่ในช่วงเวลาที่พิสูจน์ได้ด้วย พยานหลายคนยอมสละแม้ชีวิต มิใช่เพื่อศีลธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้หรือเพื่อความเชื่อมั่นฝ่ายวิญญาณ แต่เพื่อคำกล่าวอ้างที่พวกเขายืนยันว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย การ สละชีวิตตนเองเพื่อความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นยอมสละชีวิตของตนเองบนพื้นฐานอะไร คงไม่มีใครยอมตายเพื่อเรื่องที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก

5. เอกภาพของพระคัมภีร์
ผู้เขียน 40 คน ใช้เวลากว่า 1600 ปีเขียนพระคัมภีร์ 66 เล่ม ซึ่งประกอบขึ้นเป็นพระคัมภีร์ แม้จะมีช่วงเวลาในช่วงยุค เงียบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไร (แต่ก็มีบันทึกไว้ในพระธรรมนอกสารบบของคาทอลิก) อย่างไรก็ตามหนังสือปฐมกาลไปจนถึงวิวรณ์ ทุกเล่มต่างก็ให้คำตอบไปในทางเดียวกันต่อคำถามทุกคำถามที่เราสงสัยกันว่า ทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่? เราจะขจัดความกลัวของเราได้อย่างไร? เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้อย่างไร? เราจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร? และอีกหลายๆคำถาม พระคัมภีร์ทุกเล่มได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องกัน แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือหลายเล่ม แต่เป็นเล่มเดียว

6. ความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์
ทุก ยุคทุกสมัยมีคนมากมายที่คลางแคลงใจในความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ของพระ คัมภีร์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นักโบราณคดีสมัยปัจจุบันได้ขุดพบหลักฐานของบุคคล สถานที่ และวัฒนธรรมที่ปรากฏในพระคัมภีร์อยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่บันทึกในพระคัมภีร์นั้นน่าเชื่อถือ กว่าข้อสันนิษฐานของบรรดานักวิชาการเสียอีก และนับวันเข้าก็มีการค้น พบหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้น เป็นเรื่องจริง ไม่ว่า ล้อรถม้าของทหารอียิปต์ในทะเลแดง เรือโนอาห์ที่ยอดเขาอารารัต กำมะถันที่เมือโสโดมและโกโมราห์ เป็นต้น

7. ความแม่นยำของคำพยากรณ์
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่บันทึกคำพยากรณ์ไว้มากมายและล้วนแล้วเป็นจริงทั้งสิ้น ตั้งแต่ยุคของโมเสสมาแล้ว พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา โมเสสได้ทำนายว่า อิสราเอลจะไม่สัตย์ซื่อจนทำให้ต้องสูญเสียแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้ และต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่ในที่สุดก็จะรวมตัวกันอีก และกลับมาตั้งถื่นฐานอีกครั้งหนึ่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28 – 31 ) แต่หัวใจ สำคัญของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระสัญญาเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้จะทรงช่วยประชากรของมนุษย์ โลกให้พ้นจากความบาปผิดของเขาทั้งหลาย และในที่สุดจะนำการพิพากษาและสันติสุขมาในวันสุดท้าย

8. ความอยู่รอดของพระคัมภีร์
ตลอด ช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใดเป็นที่รักและเกลียดชังเท่ากับพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีผู้ซื้อ ผู้ศึกษาและอ้างอิงอย่างมากมายเท่ากับหนังสือเล่มนี้ ในขณะที่หนังสือเล่มอื่นๆเป็นล้านๆเล่มได้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบ่อยครั้งผู้ที่ไม่ชอบใจคำสอนของพระคัมภีร์จะไม่ใส่ใจ แต่พระคัมภีร์เองก็เป็นหนังสือที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตะวันตกตลอดมา พระคัมภีร์นั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และไม่มีการสังคายนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหาพระคัมภีร์ทุกตอนตรงกับต้นฉบับจริงๆ

ส่งท้าย
เหตุผล หลายประการเหล่านี้คงจะยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไบเบิลได้เป็น อย่างดี และมีข้อสนับสนุนมากมายที่ยืนยันเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มักจะมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่แค่หนังสือธรรมดาๆทั่วไปอย่างเห็นได้ ชัด

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เบเอลเซบูล

เบเอลเซบูล

เบเอลเซบูล หรือเจ้าแห่งแมลง เป็นชื่อที่พวกฟาริสีกล่าวหาว่าพระเยซูคริสต์ขับผีออกโดยอำนาจของเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นเจ้าของหรือหัวหน้าปีศาจ

เบเอลเซบูลเป็นชื่อที่ชาวยิวใช้เรียกซาตาน และใช้ล้อเลียนดูถูกพระบาอัล ซึ่งเป็นพระต่างชาติที่ล่อลวงอิสราเอลติดตามไปหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ถูกการตีสอนจากพระเจ้า

ชื่อเบเอลเซบูล ba’ al z bul เป็นเจ้าของปีศาจ เป็นพระเจ้าแห่งเมืองเอโครนที่ชาวเมืองนี้นับถือ โดยช่วยป้องกันแมลงที่แพร่เชื้อโรคอยู่แถบนั้น จากสมมุติฐานในภาษาฮีบรู ba’ al z bul ตัว L ตัวสุดท้าย ย่อมาจาก Zebul ซึ่งแปลว่า มูลสัตว์ จึงสรุปได้ว่า เบเอลเซบูลเป็นเจ้าแห่งความโสโครก หรือนายของปีศาจ

แต่พระคริสต์กล่าวตอบโต้พวกฟาริสีว่า หากพระองค์ขับผีออกโดยเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นนายผีแล้วออก ก็หมายถึงพวกผีมีความแตกแยกกันเองแล้วซิ เพราะพระองค์กำลังขับพวกมันเอง หากพระองค์เป็นพวกเดียวกับมัน แต่ว่าหากพระองค์ขับผีออกด้วยฤทธิ์เดชพระวิญญาณ ความยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ “แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว”

ลักษณะแผ่นดินของพระเจ้าที่พระคริสต์กล่าว หมายถึง ให้น้ำพระทัยของพระเจ้าครอบครองปกครองในความคิดและชีวิตของผู้นั้น ยินยอมให้พระเจ้าสถิตในผู้นั้น และสังคมคริสเตียน ผู้เชื่อในโลกสำเร็จดังที่เสร็จสิ้นในสวรรค์ ชีวิตที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ เพราะ ยอห์นให้คนไปถามพระคริสต์ว่าท่านเป็นผู้นั้นที่จะมาหรือ (คือผู้ที่คำพยากรณ์ ในพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงพระองค์) และพระองค์ทรงตรัสว่า หากคนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น คนตายแล้วพระองค์ทรงทำให้ฟื้น นั่นแหละแผ่นดินพระเจ้า ทรงมาถึงโลกนี้แล้ว

ท่านไม่ต้องอยู่นโลกแห่งการพ่ายแพ้อีกต่อไป อย่าให้ชีวิตอยู่ในความกลัวอีก เพราะเมื่อแผ่นดินพระเจ้ามาถึงแล้ว ท่านเลือกเองได้ เลือกที่จะชนะ เลือกที่จะหาย อย่าให้บาดแผลในอดีตมาเป็นอุปสรรคของชีวิต เพราะท่านมีชีวิตเพื่อวันนี้ วันนี้เป็นของขวัญของท่าน

บทเรียนน่าคิดว่า อย่าให้เบเอลเซบูลโผล่ออกมาจากความคิด ชีวิตประจำวัน แต่ให้แผ่นดินสวรรค์มาตั้งอยู่โดยการยอมจำนนความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระคริสต์ และฤทธิ์อำนาจแห่งการเยียวยาเข้ามารักษา ปลดปล่อยท่าน เพียงแต่เข้าใจก่อนว่า พระองค์ทรงอยู่ข้างท่าน และพระองค์มาเพื่อรักท่าน ไม่ใช่มาเพื่อต่อต้านท่าน แต่มาเพื่อทำให้ท่านหายดีและปกติ ท่านต้องคิด ตั้งใจที่จะหาย และเป็นไท มันเริ่มที่ความคิดก่อนครับ
เขียนโดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล

เมื่อท่านประสบความสำเร็จ

เมื่อท่านประสบความสำเร็จ

อีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว แปดเดือนที่ผ่านมาบางคนอาจจะคิดว่าตนเองทำงานยังไม่เต็มที่, ไม่เป็นที่น่าพอใจ, ไม่ค่อยตรงเป้าเท่าไร อาจเกิดความท้อแท้ อยากเปลี่ยนงานที่ทำให้เจริญมากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้าม บางท่านอาจรู้สึกพึงพอใจในผลงานของเดือนที่ผ่านมา และบางท่านอาจไม่ค่อยชอบงานที่ทำก็ได้ ใช่ไหมครับ…

มีคำกล่าว่า “จงหางานที่เรารัก ไม่ก็ให้รักงานที่เราทำ” สนุกกับมัน ทำความเข้าใจกับมัน ค้นหาประโยชน์ พระพร และคุณค่าของงานที่เราทำ แน่นอนหากเราเข้าใจจุดนี้ เราจะสามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้เสมอ ขณะที่เราทำงาน ยังไง วันนี้ให้เรามาคิดถึงคุณค่าของความคิด ท่าทีที่มีต่อการทำงาน และการรับใช้ของเราสัก 3 ข้อ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจ และช่วยท้าทายในการดำเนินชีวิตในปีใหม่นี้

1. มันเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้นเอง
อย่ายึด หรือภูมิใจ ติดกับความสำเร็จที่ผ่านมามากเกินไป ให้ตระหนักว่ามันเป็นเพียงก้าวแรกแห่งการเริ่มต้นในงานที่ยิ่งใหญ่ ที่เราต้องพบอีกในภายหน้า มีคนถามธอร์วาลเซน ปฏิมากรผู้มีชื่อเสียงชาวเดนมาร์กว่า “คุณคิดว่างานชิ้นไหนครับที่เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ” เขาตอบทันทีว่า “ยังไม่ได้ทำครับ ผมคิดว่าชิ้นต่อไปนี้แหละ” เปาโลยึดถือเสมอว่า “ข้าพเจ้าไม่ถือว่า ข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” (ฟป.3:13)

2. ทุกอย่างมีวาระ
“แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน” (ปญจ.9:11) ใช่ว่าเราจะตกต่ำ ผิดพลาด ผิดหวังตลอดไป แต่ให้เราเตรียมพร้อมที่พบกับความสำเร็จที่จะมาถึงเช่นกัน ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้จักชายคนหนึ่ง เขาประกอบธุรกิจล้มเหลวในปี 1831, พ่ายแพ้การเลือกตั้งปี 1832, ธุรกิจล้มเหลวอีกในปี 1833, ได้รับเลือกเข้าสภาปี 1834, คนรักตายปี 1835, เป็นโรคประสาทเสื่อมปี 1836, พ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นประธานสภาปี 1838, ไม่ได้เข้ารับเลือกตั้งปี 1840, ไม่ได้เป็นพนักงานที่ดินปี 1843, ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาคองเกรสปี 1845, ไม่ได้เลือกเข้าสภาซีเนตปี 1855, ไม่ได้เป็นรองประธานาธิบดีปี 1856, แต่ต่อมาในปี 1860


บุรุษผู้นั้นคือ อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครับ 30 ปี แห่งความอดทน เพียรมานะ พยายามและรอคอย อย่าคิดว่าหมดหวัง พระเจ้าไม่อวยพร โมเสสเองซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และสัตย์ซื่อ กว่าจะเป็นผู้ทำงานใหญ่ได้ ต้องไปเลี้ยงแกะถึง 40 ปี

3. อย่าลืมความยินดี
สมัยที่มาร์ติน ลูเธอร์ยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นคนที่มีใบหน้าเศร้าหมองมาก เนื่องจากการต่อสู้เพื่อความเชื่อของท่านและถูกต่อต้าน” ภรรยาของท่านได้เห็นท่านมีใบหน้าเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลานั้น วันหนึ่ง เธอจึงแต่งชุดดำ ลูเธอร์จึงถามเธอว่า “ทำไมเธอจึงแต่งชุดดำ” เธอตอบว่า “เธอไว้ทุกข์ให้กับพระเยซู เพราะพระองค์ตายเสียแล้ว” ลูเธอร์ตกใจมาก กล่าวตอบว่า “พระเยซูทรงพระชนมอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เธอควรจะปิติยินดีต่างหาก” ภรรยาท่านจึงตอบว่า “แล้วทำไมใบหน้าของเธอจึงเศร้าหมองนัก เหมือนกับว่าพระเยซูตายเสียแล้ว” ลูเธอร์คิดได้ จากนั้นท่านก็เปลี่ยน มีใบหน้าที่สดใสและเต็มไปด้วยความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ และช่วยเราได้ในทุกสิ่ง
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าของย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” (ฟป.4:4)
เขียนโดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล

จงขอบพระคุณในทุกกรณ๊

จงขอบคุณทุกกรณี (1ธส. 5:7)
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะแสดงความขอบคุณได้อย่างชัดเจนเท่ามนุษย์ โต๊ะ, เก้าอี้, บ้าน คงไม่ขอบคุณผู้เช็ดถูกวาดให้นะครับ แต่สิ่งที่จะตอบสนองความดีและพระคุณด้วยมีจิตสำนึกอันสูงส่ง คงมีแต่มนุษย์นี่แหละครับ โดยเฉพาะคนที่เป็นบุตรพระเจ้า

ในงานเลี้ยงฉลองของบริษัทยักษ์ใหญ่ในเรื่องหัวอาหารหมูแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าภาพได้เชิญหุ้นส่วนทั่วประเทศมาร่วมฉลองในผลกำไรสูงสุดรอบ 5 ปี ในงานเลี้ยงมีตั้งแต่พ่อค้า, กสิกร, นักธุรกิจ มาร่วมงานกันอย่างครึกครื้น

แต่มีโต๊ะหนึ่งที่มีนักธุรกิจคนหนึ่ง ได้นั่งกับลุงชาวชนบทมีอาชีพเลี้ยงหมู ก่อนรับประทานอาหารแกได้เริ่มหลับตาอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหารให้ พอนักธุรกิจเห็นเข้าก็หัวเราะดังลั่นและพูดว่า “ลุงไม่ทันสมัยเสียเลย มาเชื่อเรื่องบ้าบอ ขอบคงขอบคุณอะไรกัน อย่าทำตัวเคร่งศาสนามากเลย” แต่พอลุงอธิษฐานเสร็จก็หันมาที่นักธุรกิจแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มเจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องกับพระเจ้า คิดถึงพระคุณของพระองค์ ขอบคุณที่ทรงประทานอาหารให้ อย่าให้เหมือนหมูที่บ้านลุงเลย เวลาเอาอาหารให้มัน มันก็ยังไม่ขอบคุณลุงเลย”

บางครั้งเรามักลืมขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าสภาพเช่นไร จงขอบคุณทุกกรณี นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ในเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ สับสน แต่ขอให้ขอบคุณเถิดครับ เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง ที่บ่นไปแล้วแต่ว่าผลแห่งปัญหาอุปสรรคกลับกลายเป็นพระพรตามมา

ในปี 1981 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ในช่วงกลางเทอม รู้สึกว่าตัวเองปวดศีรษะมาก ขณะเรียนจึงไปตรวจสายตา ซึ่งทางร้านบอกว่าต้องตัดแว่น เพราะตาด้านซ้ายเอียง แต่ด้านขวาสั้น ข้าพเจ้าไม่ยอมตัดแว่น พอกลับมาถึงที่พักก็ได้อธิษฐานขอต่อพระเจ้า ให้พระองค์รักษา และไม่อยากใส่แว่นด้วย บุคลิกคงไม่ให้ และไม่มีเงิน อีกทั้งไม่ชอบด้วย แต่รู้สึกว่ามันยิ่งเจ็บมากขึ้นทุกวัน จนสัปดาห์ต่อมา ผมจึงจำยอมด้วยความขมขื่นที่ต้องตัดแว่นใส่

จนต่อมาปี 1983 ปลายเดือนมีนาคมขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถเมลล์ไม่รู้ว่าวันนั้นคิดอะไร ไปนั่งหน้าสุดใกล้คนขับ พอรถแล่นไปถึงหน้าโรงแรมนารายณ์แถวสีลม ยังไม่ทันตั้งตัวเลยครับ เสียงกระจกดัง “เปรี้ยง” เศษกระจกกระเด็นติดหู ติดผมของผม เต็มไปหมดเพราะรถเมล์ชนกับรถกระบะคันหน้าเข้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าใส่แว่นตา มันช่วยไม่ให้เศษกระจกเข้าตาผมเลย มันน่าดีใจจริงๆ ผมรีบขอบคุณพระเจ้าใหญ่เลยครับ ที่พระองค์ให้มีแว่นตาช่วยป้องกันเศษกระจกมากมายได้

แต่ก็มีเรื่องน่าเสียใจที่ว่าเมื่อ 2 ปีก่อนผมไม่น่าบ่นเลย น่าจะขอบคุณพระเจ้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว นี่แหละนะความผิดพลาดที่ไม่ยืนหยัดในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า … จงขอบคุณทุกกรณี ท่านขอบคุณพระเจ้าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือยังครับ จงเริ่มต้นขอบคุณพระเจ้าเถิดครับ แล้วสันติสุขของพระเจ้าจะคุ้มครองจิตใจ เพราะพระองค์มีแผนการณ์ที่ดีสำหรับลูกของ
พระองค์
เรียบเรียง โดย เจริญ ยธิกุล

การให้คุณค่า

การให้คุณค่า

ตามที่จำได้ว่ามีหมอคริสเตียนท่านหนึ่งชื่อ หมอชไวเดอร์ ท่านกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ นักเทศน์เดินมาเห็นเพราะหมอเป็นสมาชิกคริสตจักรของท่านนักเทศน์ถาม หมอทำอะไรอยู่ หมอตอบรดน้ำต้นไม้ นักเทศน์ถามต่อทันที เดี๋ยวพระเยซูเสด็จกลับมารับหมอจะทำอะไร? หมอตอบ พระเยซูมาก็เป็นเรื่องของพระองค์ ผมก็จะรดน้ำต้นไม้ต่อ คุณได้รับบทเรียนจากเรื่องนั้อย่างไร?

การให้คุณค่าสิ่งที่ทำ หรือรู้เป้าหมายสิ่งที่กำลังรับผิดชอบ เราทุกคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบ แต่เราต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เราทำนั้น เรารู้ว่ามีคุณค่า มีเป้าหมาย จุดประสงค์แม้พระคริสต์เสด็จมาเมื่อใหร่ เราก็ยังคงทำต่อไปเพราะเราทำตามที่พระองค์ทรงกำหนด หรือเป็นหน้าที่ในชีวิตประจำวัน เพราะเรารู้คุณค่า และมีเป้าหมาย ไม่ใช่ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้คุณค่า

ดังพระองค์ทรงยกเรื่องคำอุปมาที่บ่าวบอกกับนายว่า ข้าพเจ้าทำตามหน้าที่ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และเป็นบ่าวไม่มีบุญคุณต่อนาย เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าจะไม่ชกลม ดังนี้อย่าให้เรา เบื่อตัดพ้อ ในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอยู่ แม้ว่าจะไม่ดีรับความเป็นธรรมเพราะความผิดของผู้อื่นหรือใคร ปฏิญาณเลยว่าจะไม่ให้ ใจหรือปาก ทำบาป ผิดพลาด เพราะตอบโต้คนที่ทำผิดต่อเราแม้เราถูก ในสายพระเนตร เราอาจไม่เป็นที่พอพระทัย การเจิมก็จะสิ้นสุดลง เพราะเราตามใจเนื้อหนัง ของเรา

หลายครั้งเรามักจะถอดใจ หรือบ่น หรืออ่อนระอา ผมอยากท้าทายว่าหากต่อหน้าพระคริสต์ พระองค์อาจถามเราว่า เจ้าอดทนจนถึงที่สุดแล้วหรือไม่ เรารักเขามากจนถึงที่สุดหรือไม่ เจ้าให้โอกาสเขามากที่สุดหรือไม่

เราจะตอบว่าอย่างไร? นี่เอง เราต้องปฎิญาณกับตัวเองว่า จนถึงที่สุด จะป็นคำที่เราให้การกับพระเจ้าว่า ถึงที่สุดแล้วพระเจ้าข้า

ทั้งสองตอนนี้เกี่ยวกันอย่างไร เพราะผมกำลังบอกว่าสิ่งที่เผชิญอยู่นี้ เราสามารถรู้คุณค่า และทำอย่างมีเป้าหมาย และจะรัก จะทนจนถึงที่สุด หากวันพิพากษา เราจะบอกกับพระองค์และพระองค์ก็เห็นว่า เรารัก จนถึงที่สุดจริงๆ เพราะ พระเจ้าทรงรักผู้ที่รู้จักพระองค์ และพระองค์จะให้เราอดทนอีกทั้งจะให้เรามีช่องทางหลีกเลี่ยงได้
(1คร8:3,8:13)

เรียบเรียง โดย เจริญ ยธิกุล

การข่มเหงและการเกิดผล

การข่มเหงและการเกิดผล

ประมาณปี คศ.62 กรุงโรมปกครองโดยกษัตริย์เนโร กษัตริย์องค์นี้อ่อนแอมาก ตามประวัติศาสตร์เล่ากันว่า ท่านได้ฆ่ามารดาของตน และท่านถูกตัดอวัยวะเพศทิ้ง และมารดาของท่านก็เกลียดชังลูกสะใภ้ ท่านคงจะเป็นโรคประสาทด้วย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

ที่ร้ายกว่านั้นท่านมีความคิดแปลกๆ คือท่านได้คิดจะเผากรุงโรมและคิดจะสร้างใหม่ แต่ประชาชนได้ลุกฮือขึ้นต่อต้าน เพราะความเดือดร้อนที่บ้านเมืองถูกไฟเผา ต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยใจเคียดแค้นและด้วยความเกลียดชัง แต่แล้วกษัตริย์เนโรซึ่งเกลียดชังคริสเตียนอยู่แล้วในช่วงนั้น จึงโยนความผิดให้พวกคริสเตียน โดยอ้างว่าพวกเป็นคนเผา เหตุนี้เองจึงมีการจับคริสเตียนมาลงโทษ โดยจับปล่อยไว้กลางสนามกีฬา แล้วปล่อยสิงโตที่อดอาหารมาหลายๆ สัปดาห์ให้ออกมากัดกิน ท่ามกลางการชมอย่างสนุกสนานของประชาชนชาวโรม คริสเตียนบางคนก็ถูกเผาทั้งเป็นเสมือนเป็นโคมไฟในเวลากลางคืน เพราะการที่ไม่ยอมปฏิเสธว่า พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า อาจารย์เปาโลกับท่านเปโตรก็ตายในสมัยกษัตริย์องค์นี้ปกครองแหละครับ

จากจุดนี้เอง จีงสร้างความแปลกใจให้กับประชาชนและที่ราชการของกษัตริย์เนโรมาก เพราะขณะที่คริสเตียนถูกสิงโตกิน พวกเขาเกาะกลุ่มกันร้องเพลงนมัสการสรรเสริญพระเจ้า เสียงเพลงดังก้องไปทั่วสนามกีฬา

ข้อคิดในเรื่องนี้คือ ทุกยุคทุกสมัย คริสเตียนพบกับปัญหาเผชิญกับอุปสรรคและความตายเสมอ แต่ยิ่งถูกข่มเหง คริสตชนผู้เชื่อก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไม่เคยหยุด เช่นกันแม้จะมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่เสียงสรรเสริญที่เปล่งในจิตวิญญาณของเราไม่ควรดับไป

อย่าให้อุปสรรคปัญหาที่เล็กน้อยมากในสมัยของเรานี้ไม่ถีงกับเลือดตกยางออก หรือต้องชีวิตถีงตาย เหมือนผู้เชื่อในอดีต อย่าให้เราท้อแท้และละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าไปเสียเพราะสิ่งที่เราจะได้มีค่าและมีความหมายสูงส่งกว่า ความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา คือชีวิตนิรันด์ ชีวิตที่หมดจากเวรกรรม สันติสุขแท้ที่ไม่เหมือนโลกให้
เขียนโดย อาจารย์เจริญ ยธิกุล

เธอเป็นคนพิเศษ

เธอเป็นคนพิเศษ
เขียนโดย แมกซ์ ลูคาโด
พอดีได้อ่านหนังสือเรื่องวิญญาณการถูกปฏิเสธ ของจอห์นพอล แจ็คสัน และท่านได้ยกตัวอย่าง ละครแนวอุปมาอุปมัย เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการมีคุณค่าของตัวเราเอง ผมจึงได้แปล เพื่อจะได้เป็นกำลังใจ แก่คนที่รู้สึกว่าตัวเองแย่ แท้จริงหนังสือของแมกซ์ ลูคาโดมีหลายเรื่อง นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้กำลังใจพี่น้องทุกท่าน ลองอ่านดูนะครับ

เว็มเม็กซ์คือหุ่นไม้รูปคนตัวเล็ก ๆ หุ่นทุกตัวถูกแกะสลักโดยช่างแกะไม้ชื่อ เอลี เขาอยู่ที่บนภูเขานอกหมู่บ้าน หุ่นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน บางตัวก็มีจมูกใหญ่ บางตัวก็มีตาโต บางตัวก็สูง บางตัวก็เตี้ย บางตัวสวมหมวก บางตัวสวมเสื้อคลุม แต่ทุกตัวถูกสร้างขึ้นโดยช่างไม้คนเดียวกัน และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เว็มเม็กซ์ทุกตัวจะมีกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปดาวสีทอง และกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปจุดสีเทา และทุก ๆ วัน หุ่นเหล่านี้จะทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ พวกมันจะติดสติ๊กเกอร์ให้กันและกัน ทุกคนสามารถมองเห็นสติ๊กเกอร์รูปดาวหรือรูปจุดที่ติดอยู่บนตัวของแต่ละคนได้

ตัวที่สวยหน่อย เนื้อไม้เรียบลื่นและทาสีสวยงาม ก็มักจะได้สติ๊กเกอร์รูปดาวเสมอ แต่ตัวที่เนื้อไม้ไม่เรียบและสีหลุดลุ่ยก็จะได้สติ๊กเกอร์รูปจุด ตัวที่มีความสามารถพิเศษก็จะได้รับดาวด้วยเหมือนกัน บางตัวยกไม้ท่อนใหญ่ให้สูงเหนือศรีษะได้ หรือกระโดดข้ามกล่องสูง ๆ ได้ บางตัวก็รู้จักคำศัพท์ยาก ๆ หรือร้องเพลงไพเราะ ทุกตัวเหล่านี้จะได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาว

เว็มเม็กซ์บางตัวได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาวเต็มตัวไปหมด และทุกครั้งที่เขาได้รับรูปดาว พวกเขาก็รู้สึกดี และยิ่งทำให้เขาทำดีอีก และได้รับดาวเพิ่มขึ้นอีก ที่เหลือมีความสามารถนิดหน่อยก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุด
พันชินเนลโล คือหนึ่งในตุ๊กตาพวกหลัง เขาพยายามกระโดดให้สูงเหมือนตัวอื่น แต่เขาก็ล้มลงทุกครั้ง และเมื่อเขาล้มลง ตุ๊กตาตัวอื่นก็จะมามุงดูเขาและติดสติ๊กเกอร์รูปจุดให้แก่เขา

และบางครั้งเมื่อเขาล้ม มันทำให้เนื้อไม้ของเขาชำรุดด้วย และทุกคนก็เอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาเพิ่มให้เขาอีก เขาพยายามอธิบายว่าทำไมเขาล้มลง แต่เขาก็มักจะพูดโง่ ๆ ออกไป ไม่นาน เขาก็มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเต็มไปหมด จนเขาไม่อยากออกนอกบ้านอีกเลย เพราะเขากลัวว่าเขาจะทำเรื่องโง่ ๆ อีก เช่น ลืมหมวก หรือสะดุดหกล้ม และจะทำให้คนอื่นเอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาติดเพิ่มให้เขาอีก ที่จริงเขาได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดมากจนเว็มเม็กซ์ที่เดินผ่านมาเจอเขาก็จะติดสติกเกอร์ให้เขาทันทีโดยไม่มีเหตุผล เพราะว่า “เขาสมควรจะได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดเยอะ ๆ เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดี”

ไม่นาน พันชินเนลโลก็เชื่อพวกเขาและพูดกับตัวเองว่า “ฉันเป็นหุ่นไม้ที่ไม่ดี” เวลาที่เขาออกไปข้างนอก เขาก็มักจะเข้ากลุ่มกับเว็มเม็กซ์ที่มีจุดเยอะ ๆ เหมือนเขา เขารู้สึกดีที่จะอยู่กับหุ่นไม้ที่เหมือนกันเขา
วันหนึ่ง เขาพบเว็มเม็กซ์ตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนตัวอื่นที่เขาเคยพบมาก่อน เธอไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดหรือดาวเลย เธอก็เป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่งเหมือนกับเขา เธอชื่อว่า ลูเซีย ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามจะติดสติ๊กเกอร์ให้กับเธอ แต่สติ๊กเกอร์เหล่านั้นติดไม่อยู่และหลุดหมด มีบางคนชื่นชมลูเซียที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเลย พวกเขาจึงวิ่งมาจะให้สติ๊กเกอร์รูปดาวกับเธอ แต่สติ๊กเกอร์นั้นก็จะหลุดลงมา บางคนก็ดูถูกเธอที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปดาว พวกเขาจึงอยากให้สติ๊กเกอร์รูปจุดแก่เธอ แต่มันก็ไม่ติดเหมือนกัน พันชินเนลโลจึงคิดในใจว่า “ฉันก็อยากจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” ดังนั้น เขาจึงถามเว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ว่า “ฉันไม่อยากได้สติ๊กเกอร์ของใคร ๆ เหมือนกัน เธอทำยังไงน่ะ” ลูเซียตอบว่า “ง่ายมาก ทุก ๆ วันฉันจะไปหาเอลี”

“เอลีหรือ?” “ใช่ เอลีช่างไม้ไงล่ะ ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาทุกวัน” “ทำไม?” “ทำไมเธอไม่ไปหาคำตอบด้วยตัวเธอเองล่ะ? ขึ้นไปบนภูเขาสิ เขาอยู่ที่นั่น”

จากนั้น เว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป “แต่ถ้าเขาไม่อยากจะเจอฉันล่ะ?” พันชินเนลโลตะโกนถาม แต่ลูเซียไม่ได้ยิน ดังนั้น พันชินเนลโลจึงกลับบ้าน เขานั่งใกล้หน้าต่าง และมองดูพวกหุ่นไม้ที่เดินเข้าหากันและกันและให้สติ๊กเกอร์แก่กันและกัน “นี่มันไม่ถูกต้องเลย” เขารำพึงกับตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาเอลี เขาเดินไปตามทางแคบ ๆ ไปยังยอดเขาและเข้าไปยังบ้านของช่างไม้ แล้วตาของเขาก็เปิดกว้างเมื่อมองเป็นทุกสิ่งในนั้นมีขนาดใหญ่โตมาก เก้าอี้มีขนาดสูงเท่ากับตัวเขา เขาต้องยืนเขย่งขาขึ้นเพื่อที่จะมองเห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะ มีขวานที่มีขนาดยาวเท่ากับแขนของเขา พันชินเนลโลกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แน่!” แล้วเขาก็หันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา

"พันชินเนลโล?" เสียงนั้นนุ่มลึกและมีพลัง พันชินเนลโลหยุดเดิน “พันชินเนลโล! ดีใจจริง ๆ ที่เจอเจ้าที่นี่ มานี่มา มาให้ดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย” พันชินเนลโลหันกลับมาช้า ๆ และมองไปที่ช่างไม้ร่างใหญ่ที่มีหนวดเครา “คุณรู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ?” เว็มเม็กซ์ตัวน้อยถาม

"แน่นอนสิ เรารู้จักจัก เราสร้างเจ้ามา" เอลีก้มลงและอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “อืม..” เอลีกล่าวขึ้นมาอย่างใคร่ครวญและมองเขาด้วยอย่างสำรวจที่สติ๊กเกอร์รูปจุดสีเทา “ดูเหมือนเจ้าได้รับเครื่องหมายที่ไม่ค่อยดีเยอะเลยนี่” “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ เอลี ผมพยายามแล้ว” “โอ้ เจ้าไม่ต้องอธิบายกับเราหรอก ลูกรัก เราไม่สนใจหรอกว่าเว็มเม็กซ์ตัวอื่น ๆ พูดถึงเจ้าอย่างไร” “คุณไม่สนหรือครับ?”

“ไม่เลย และเจ้าก็ไม่ควรสนใจด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นใคร ที่จะมาเที่ยวให้ดาวหรือจุดกับใคร ๆ ? พวกเขาก็เป็นเพียงหุ่นไม้เหมือนกับเจ้า พวกเขาคิดยังไงก็ไม่สำคัญหรอก พันชินเนลโล สิ่งที่เราคิดต่างหากที่สำคัญ และเราก็คิดว่าเจ้าเป็นหุ่นที่พิเศษมาก”

พันชินเนลโลหัวเราะ “ผมน่ะเหรอครับ พิเศษ? ทำไมล่ะครับ? ผมวิ่งก็ไม่เร็ว กระโดดก็ไม่สูง สีของผมก็หลุดลอก แล้วผมจะพิเศษสำหรับคุณอย่างไร?”

เอลีมองพันชินเนลโล เขาเอามือวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเจ้าหุ่นไม้ตัวเล็ก และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นของเรา ดังนั้นเขาจึงสำคัญสำหรับเรา”

ไม่เคยมีใครมองพันชินเนลโลอย่างนี้มาก่อน เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
"ทุกวัน เราเฝ้าหวังว่าเจ้าจะมา” เอลีกล่าว “ผมมาเพราะว่าผมเจอหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่ไม่มีสติ๊กเกอร์”
"เรารู้แล้ว เธอเล่าเรื่องที่เจอกับเจ้าให้เราฟัง"
"ทำไมสติ๊กเกอร์ถึงไม่ติดบนตัวเธอล่ะครับ?"
"เพราะว่าเธอเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดสำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดน่ะสิ สติ๊กเกอร์มันจะติดอยู่ที่ตัวเธอได้เพราะว่าเธออนุญาตเท่านั้น”
"อะไรนะ?"
"สติ๊กเกอร์สามารถติดบนตัวเธอได้ถ้าเธอคิดว่ามันสำคัญสำหรับเธอ แต่ถ้าเธอวางใจในความรักของเรามากเท่าไหร่ เธอก็จะสนใจเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์น้อยลงเท่านั้น”
"ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจ"

"เจ้าจะเข้าใจ แต่มันต้องใช้เวลา เจ้ามีสติ๊กเกอร์และบาดแผลมาก ดังนั้น จากนี้ไป จงมาหาเราทุกวัน และให้เราได้ทำให้เจ้าได้รู้ว่าเราสนใจเจ้าแค่ไหน” เอลีอุ้มพันชินเนลโลลงจากเก้าอี้ “จำไว้นะ” เอลีกล่าวขณะที่พันชินเนลโลก้าวออกจากประตู “เจ้าเป็นคนพิเศษ เพราะว่าเราสร้างเจ้ามา แล้วเราไม่ได้สร้างเจ้ามาผิดพลาด”

พันชินเนลโลเดินจากไปพร้อมกับคิดว่า “ฉันคิดว่าเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ” แล้วทันใดนั้น สติ๊กเกอร์รูปจุดก็ล่วงหล่นลงพื้น

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จงนิ่งเสีย

ท่ามกลางปัญหา พระเจ้าตรัสว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า”
จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า... – สดุดี ๔๖:๑๐
คุณเคยประสบปัญหาหนักจนไม่สามารถอยู่นิ่งได้เลยหรือไม่ แม้คุณจะอยู่ในห้องเงียบๆ เพียงคนเดียว แต่เสียงต่างๆ กลับดังก้องหูคุณอยู่ตลอดเวลา สมองของคุณถูกกระหน่ำด้วยความคิดถึงสิ่งที่ร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจและหัวใจของคุณ ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากบาก” (ข้อ ๑) แต่การที่จะให้พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย เป็นกำลังและเป็นความช่วยเหลือ คุณต้องทำสิ่งที่ผู้เขียนสดุดีทำ ท่านกล่าวว่า “ฉะนั้นเราจะไม่กลัว แม้ว่าแผ่นดินโลกจะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าภูเขาทั้งหลายจะโคลงเคลงลงสู่สะดือทะเล” (ข้อ ๒) านตัดสินใจว่า แม้โลกจะถล่มทลาย แต่หากพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย ท่านจะไม่กลัว ความกลัวคือศัตรูบ่อนทำลายความเชื่อ และเพราะคุณได้รับสิ่งใดก็ตามจากพระเจ้าโดยความเชื่อ เมื่อความเชื่อถูกบ่อนทำลาย คุณจะพลาดจากการได้รับจากพระเจ้า
มธ. ๑๔:๒๔-๓๒ กล่าวถึงเรื่องราวขณะที่สาวกของพระเยซูเผชิญกับคลื่นลมรุนแรงที่ซัดจนเรือโคลง ก่อนที่พระเยซูจะทรงกระทำให้ลมสงบลง พระองค์ตรัสว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” และหากชีวิตคุณประสบกับคลื่นลม ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้ลมสงบลง พระองค์ตรัสกับคุณวันนี้เช่นกันว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” หรืออีกนัยหนึ่ง “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า อย่ากลัวเลย”
เมื่อพระเจ้าเสด็จมาช่วย ไม่ได้หมายความว่าลมจะนิ่งสงบทันที เมื่อพระเยซูเสด็จมาบนน้ำ ลมยังคงพัดแรง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หลายคนพลาดที่จุดนี้คือ เมื่ออธิษฐานแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใดเกิดขึ้น ก็เลิกเชื่อ และปล่อยให้ความกลัวครอบงำและบ่อนทำลายความเชื่อต่อไปพระองค์เสด็จไปหาพวกเขาเพื่อให้พวกเขามองพระองค์ แทนที่จะมองปัญหา พระเจ้าทรงประสงค์ให้คุณมองพระองค์ แทนที่จะมองปัญหาเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางสาวกทั้งหมด เปโตรเป็นเพียงคนเดียวที่มองพระองค์ด้วยความเชื่อ เขาเชื่อพระวจนะของพระองค์ที่ตรัสว่า “มาเถิด” เขาเชื่อว่าคำสั้นๆ ของพระองค์สามารถทำให้เขาก้าวอย่างมั่นคงได้ท่ามกลางคลื่นลม เบื้องหน้าของเขาคือคลื่น เขากำลังจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขามองพระองค์ เชื่อพระวจนะของพระองค์ และเปโตรก็ก้าวลงบนน้ำไปหาพระองค์ ชีวิตของคุณอาจถึงทางตัน ข้างหน้าเป็นคลื่นที่รุนแรง แต่หากคุณวางใจในพระวจนะ คุณจะก้าวต่อไปได้ท่ามกลางปัญหาที่ซัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิตคุณ
เปโตรกำลังไปได้ด้วยดี หลายคนบนเรือแทบไม่เชื่อสายตาว่า เปโตรกำลังเดินบนน้ำและกำลังเดินต่อไปเรื่อยๆ เป็นภาพที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง อีกไม่กี่ก้าวเขาจะไปถึงพระองค์อยู่แล้ว แทนที่เขาจะมองพระองค์ต่อไป เขากลับไปมองลมที่กำลังพัดอย่างรุนแรง ความกลัวได้เข้าครอบงำและบ่อนทำลายความเชื่อของเขา เป็นเหตุให้เขากำลังจะจม พวกเราบางคนก็เช่นกัน อาจจะทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ คือก้าวไปบนพระวจนะท่ามกลางคลื่นลมแรงในชีวิต ดูเหมือนว่าเรากำลังไปได้ดีท่ามกลางปัญหา แต่แทนที่เราจะมองพระองค์และเชื่อพระวจนะจนถึงที่สุด เนื่องจากคลื่นลมยังคงแรงเหมือนเดิม เราเริ่มมองคลื่นลมแทนที่จะมองพระองค์ ทั้งๆ ที่อีกไม่นานคลื่นลมกำลังจะสงบลงแล้ว เรากลับปล่อยให้ความกลัวก่อให้เกิดความสงสัยและบ่อนทำลายความเชื่อ จนเรากลับไปจมอยู่กับปัญหาเหมือนเดิม

พระเยซูตรัสถามเปโตรว่า “ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง” จากพระวจนะของพระองค์ ความกลัวก่อให้เกิดความสงสัย และบ่อนทำลายความเชื่อ หลังจากพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็เงียบลง อันที่ จริง เปโตรสามารถเดินไปหาพระองค์และเดินกลับขึ้นเรือกับพระองค์ และลมก็เงียบสงบลงได้ และนั่นคือน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ท่านพลาดเพราะมองปัญหาและปล่อยให้ความกลัวครอบงำ

ท่ามกลางปัญหา พระเจ้าตรัสว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า”
ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาใด อย่าเข้าใจว่าพระเจ้าได้เสด็จจากคุณไป พระองค์ยังคงประทับอยู่เบื้องหน้าคุณ ประทับอยู่กับคุณและประทับอยู่ในชีวิตคุณ อย่าหวาดกลัว แต่จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ก้าวไปกับพระองค์ด้วยความเชื่อในพระวจนะของพระองค์ท่ามกลางปัญหา แม้ปัญหาจะรุนแรงเพียงใด จงมองพระเจ้าและก้าวต่อไป พระองค์จะทรงนำคุณท่ามกลางปัญหาและในที่สุดปัญหาจะสิ้นสุดลง และคุณจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ:
พระบิดาเจ้า ลูกจะนิ่งเสีย
และรู้ว่า พระองค์คือพระเจ้า
ลูกจะเชื่อและไม่กลัว
ลูกจะก้าวต่อไปกับพระองค์
ไม่ว่าลมจะแรงเพียงใด
เพราะลูกมั่นใจว่าอีกไม่นานลมจะสงบลง
ลูกสรรเสริญพระองค์
ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เกิดมาทำไม

โดย พาสเตอร์ ริค วอเรน
ทำไม เราจึงเกิดมาบนโลกใบนี้? คำถามที่สำคัญนี้ฉันเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากรู้คำตอบแน่นอน แม้ว่าท่านจะเชื่อว่ามีพระผู้สร้างหรือไม่ หรือท่านอาจเชื่อว่าเงินคือพระเจ้า หรือตัวท่านเองคือพระเจ้าผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง
พาสเตอร์ริคได้ตอบว่า ชีวิตอาจเปรียบเหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มบางอย่างอยู่ ชีวิตคือการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเป็นอมตะ ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นให้อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่ให้อยู่คงทนชั่วนิรันดร์ พระเจ้าต้องการให้เราไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ วันหนึ่งหัวใจของฉันจะหยุดเต้น และเมื่อนั้นก็หมายความว่ามันเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้ของฉัน แต่นั่นไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตของฉัน
ฉันอาจมีชีวิตแค่ 60 ปี หรือ ยืนยาวไปถึง 100 ปี บนโลกใบนี้, แต่ฉันจะต้องไปใช้ชีวิตเป็นแสนล้านปีในอาณาจักรอันนิรันดร์ที่พระเจ้ากำหนด ชีวิตบนโลกใบนี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่อง เหมือนกับการลองสวมเสื้อผ้าเท่านั้น พระเจ้ามีความประสงค์ให้เราลองฝึกฝนตัวเองบนโลกใบนี้ก่อนที่เราจะได้รับอนุญาตให้ไปมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ในอีกภพหนึ่ง
ชีวิตของเราถูกสร้างโดยพระเจ้า เพื่อพระเจ้า จนกว่าเราจะเข้าใจสิ่งนี้ก่อน เราจึงจะสามารถจินตนาการให้เข้าใจถึงเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ชีวิตคือการเผชิญปัญหาที่เป็นขั้นตอนต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะประสบกับปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเพิ่งจะผ่านพ้นอุปสรรค์อย่างหนึ่ง คุณยังจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาอีกอย่างหนึ่งอีก ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าสนใจสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณมากกว่าเพียงความสุขสบายส่วนตัวของคุณ, พระเจ้าสนใจที่จะพยายามขัดเกลาชีวิตของคุณให้บริสุทธิ์ มากกว่าทำให้ชีวิตของคุณมีแค่ความสบายและมีความสุข
เราบางคนอาจมีเหตุผลที่ดีในการมีชีวิตที่มีความสุขบนโลกนี้, แต่สิ่งนี้ไม่ใช้เป้าหมายของชีวิตนะ, เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคือสร้างสรรค์คุณลักษณะอุปนิสัยแบบพระคริสต์ต่างหากล่ะในปีที่ผ่านไปรู้สึกว่าเป็นปีที่ดูยิ่งใหญ่สำหรับฉัน แต่ก็เป็นปีที่ยากลำบากมากด้วย, เพราะภรรยาของฉันคุณ เคย์ ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ฉันเคยคิดว่าชีวิตเป็นเหมือนกับการขึ้นเขาลงห้วยลุ่มๆ ดอนๆ + เราอาจมีเวลาแห่งชีวิตเหมือนอยู่ในความมืดมิด, ต่อมาชีวิตมันดูเหมือนอยู่บนที่สูงสุดของภูผา, ไปๆ มาๆ, ฉันไม่เชื่อย่างนี้อีกแล้วล่ะ
ชีวิตเป็นมากกว่าการขึ้นเขาลงห้วยนะ, ฉันเชื่อว่าชีวิตน่าจะเป็นเหมือนรางรถไฟคู่, ในทุกขณะของชีวิตคุณจะต้องพบทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีในชีวิต ไม่ว่าสิ่งดีในชีวิตจะทำให้คุณเป็นสุขมากเพียงใด, ชีวิตก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่เรื่อยไปและไม่ว่าสิ่งเลวๆ ในชีวิตจะเป็นอย่างไร, ชีวิตก็ยังมีสิ่งที่ดีๆ ให้เราขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกว่าจะเล็งเป้าหมายของชีวิตไปทางไหน, เป้าหมายเพื่อจุดประสงค์ของชีวิตหรือวางเป้าหมายไปที่ปัญหาชีวิต
ถ้าหากคุณมุ่งความสนใจไปที่ปัญหา, ก็หมายความว่าคุณกำลังมุ่งเข้าสู่ชีวิตที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเอง, ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราอาจเรียกมันว่า ปัญหาของฉัน เรื่องยุ่งๆ ของฉัน ความเจ็บปวดของฉันแต่วิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะขจัดความเจ็บปวดออกจากชีวิตของคุณ ก็คือการเล็งเป้าหมายชีวิตไปที่พระเจ้าและคนอื่นๆ มากกว่า
เราได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า ทั้งๆ ที่มีคนเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นๆ คนช่วยกันอธิษฐานเผื่อความเจ็บป่วยของเคย์ภรรยาของฉัน คือขอให้เขาหายป่วยจากการเป็นมะเร็งร้าย แต่พระเจ้าไม่รักษาเคย์ หรือทำให้เคย์มีชีวิตที่สบายขึ้น สิ่งนี้มันเป็นเรื่องลำบากสำหรับเคย์มาก, แต่ด้วยเหตุแห่งความเจ็บป่วยนี้พระเจ้าได้เสริมกำลังให้เคย์มีอุปนิสัยที่เข้มแข็งขึ้น, พระองค์ได้ประทานพันธกิจแห่งการเยียวยาผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นๆ, พระเจ้าได้ประทานคำพยานที่เธอจะสามารถเล่าถึงพระคุณของพระเจ้าในความเจ็บป่วยของเธอ พระเจ้าได้ฉุดดึงเคย์ให้เข้าไปใกล้พระองค์และคนอื่นๆ มากขึ้น
แท้ที่จริงชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะจัดการกับเรื่องที่ดีและเรื่องที่เลวร้ายในชีวิตไปพร้อมๆ กันจริงๆ แล้วบางทีการเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งดีในชีวิตมันยากกว่านะ ยกตัวอย่างนะ ในปีที่ผ่านไปเพียงระยะเวลาไม่นาน หนังสือที่ฉันแต่งขึ้นได้ขายออกไปถึง 15 ล้านเล่ม มันทำให้ฉันร่ำรวยขึ้นผิดหูผิดตาอย่างรวดเร็วมาก แต่มันก็ทำให้ฉันมีชื่อเสียงมากมายจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ฉันไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะประทานความมั่งคั่งกับชื่อเสียงที่โด่งดังเพื่อตอบสนองความอยากส่วนตัวของเรา หรือเพียงเพื่อให้ชีวิตของเราเป็นอยู่อย่างสุขสบายเท่านั้น
ดังนั้นฉันจึงเริ่มถามพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการให้ฉันทำอย่างไรกับความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และอิทธิพล พระเจ้าประทานถ้อยคำสองตอนจากพระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 9 และพระธรรมสดุดี ของพระองค์ที่ช่วยให้ฉันตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
ประการแรก, ทั้งๆ ที่เงินมากมายกำลังไหลเข้ามาในกระเป๋า, เราจะไม่เปลี่ยนวิถีแห่งการดำเนินชีวิตสักนิดเดียว, เราไม่ได้ซื้อข้าวของอะไรที่แพงๆ
ประการที่สอง, ประมาณกลางปีที่แล้ว, ฉันได้หยุดรับเงินเดือนค่าตอบแทนจากการเป็นทำงานจากคริสตจักรที่ฉันดูแลอยู่
ประการที่สาม, เราได้ตั้งกองทุนเพื่อการเริ่มต้นปลูกสร้างคริสตจักรที่เราเรียกว่า “โครงการปลูกสร้างคริสตจักร, เตรียมผู้นำ, ช่วยเหลือคนยากไร้, กองทุนสำหรับคนเจ็บป่วย, และการให้การศึกษาสำหรับคนรุ่นต่อไป
ประการที่สี่, ฉันได้คำนวณว่าตลอดเวลาที่ฉันได้ทำงานให้คริสตจักรเป็นเวลาถึง 24 ปี คริสตจักรได้จ่ายค่าตอบแทนให้กับฉันเป็นเงินเท่าไหร่ ฉันได้จ่ายคืนเท่ากับจำนวนเงินทั้งหมดที่คริสตจักรได้จ่ายให้ฉัน
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกปลดปล่อยว่า ฉันได้รับใช้พระเจ้าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน คือการรับใช้ฟรีๆ มีคำถามที่เราต้องถามตนเอง: ฉันกำลังมีชีวิตอยู่เพื่อการครอบครองหรือ? เพื่อเป็นที่นิยมชมชอบหรือ?ชีวิตของเรากำลังถูกกระตุ้นด้วยแรงกดดันต่างๆ บางอย่าง เช่น ความรู้สึกโทษตัวเอง, ความขมขื่น ความอยากได้อยากมีในทรัพย์สิ่งของ, หรือว่า... ชีวิตของเราน่าจะถูกพลักดันโดยพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตเรา
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า, ฉันนั่งอธิษฐานที่ข้างเตียงว่า พระเจ้า, หากวันนี้ไม่สามารถทำความสำเร็จใดๆ ลูกอยากรู้จักพระองค์และรักพระองค์มากขึ้นเก่าเดิม “พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์เพียงเพื่อให้ฉันมาทำสิ่งในสิ่งที่เป็นแค่รายการที่ต้องทำประจำวันเท่านั้น” "พระองค์สนใจในสิ่งที่ฉันเป็นมากกว่าสิ่งที่ฉันทำ" นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเรียกคนว่า มนุษย์ผู้เป็นอยู่, ไม่ใช่ มนุษย์ผู้กำลังทำงาน
เมื่อมีสุข จงสรรเสริญพระเจ้า, เมื่อประสบความลำบาก จงแสวงหาพระเจ้าในยามเงียบสงบ, จงนมัสการพระเจ้าเมื่อยามเจ็บปวด, ในทุกๆ ขณะของชีวิต จงขอบพระคุณพระเจ้าจงวางใจพระเจ้า,

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

การตรึง

เขียนโดย อาจารย์ปัญญา โชชัยชาญ


เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเด็ก ครูรวีวารศึกษาได้สอนข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกถึงเรื่องพระกำเนิด, การดำเนินชีวิต, การสิ้นพระชนม์, และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ครั้นข้าพเจ้าย่างเข้าสู่วัยหนุ่มก็ได้ พยายามจัดลำดับความรู้ เหล่านั้นให้เป็นระเบียบ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าคิดสงสัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าปฏิเสธพระคัมภีร์ เพียงแต่รู้สึกไม่แน่ใจในหลายๆ อย่าง

บางครั้งความรู้สึกนี้ทำให้ข้าพเจ้า (สงสัยตนเองมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์หรือไม่) เมื่อ ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในวิทยาลัย อาจารย์กำหนดให้ข้าพเจ้าเขียนรายงานประจำภาคเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้ เลือกค้นคว้าเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ เมื่อได้ศึกษาเรื่องนั้นแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึก 2 อย่าง คือ รู้สึกหวาดกลัวในเหตุการณ์อันสยดสยองครั้งนั้น และมีความเชื่อในพระเยซูคริสตฺ์ จากหลักฐานต่างๆ ของนักประวัติศาสตร์เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย ใน สมัยของพระคริสต์นั้น รัฐบาลโรมจะประหารชีวิตนักโทษโดยการจับตรึงที่กางเขน การลงโทษโดยใช้วิธีนี้มิใช่เพื่อล้างผลาญชีวิตของผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่เพื่อให้ประชาชนได้เห็นโทษที่ผู้กระทำผิดได้รับอีกด้วย


ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา มีหนังสือและการศึกษาอย่างน้อย 10 ฉบับที่พยายามทำความเข้าใจสาเหตุทางกายภาพของการเสียชีวิตของพระเยซู ในจำนวนนี้รวมถึงความพยายามของคนอเมริกันกลุ่มหนึ่งในปี 2005 ที่มีการตรึงอาสาสมัครกับกางเขนชั่วคราวและอย่างปลอดภัยด้วยเข็มขัด การทดลองนี้ทำให้ได้มาซึ่งสมมติฐานมากมาย ตั้งแต่หัวใจล้มเหลวไปจนถึงเลือดคั่งในปอด และอาการสลบและช็อคเนื่องจากความดันโลหิตลดต่ำ เหยื่อจะเจ็บปวดทรมานอยู่นาน 6 ชั่วโมงนับจากถูกตรึงกางเขนจนเสียชีวิตจากการเสียเลือด ขาดน้ำ และน้ำหนักของร่างกายที่กดทับปอด

การตรึงที่กางเขน เป็นการทรมานนักโทษให้ตายอย่างช้าๆ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนขยาดกลัว มิกล้ากระทำผิด วิธีตรึงที่กางเขนนั้น แผกแตกต่างกันไปบ้าง เล็กน้อยในแต่ละแห่ง แต่ผลลัพธ์นั้นก็เหมือนกัน คือ ความเจ็บปวดรวดร้าวจนตาย อย่างช้าๆ ท่านเคยคิดสงสัยเหมือนข้าพเจ้าหรือไม่ว่า ตะปูที่แทงทะลุมือและเท้าจะทำให้คนตายได้อย่างไรกัน ขอเชิญพิจารณาร่วมกับข้าพเจ้าถึงเรื่องนี้

การโบยตี – บาง ครั้ง สิ่งแรกสุด ในกระบวนการตรึงที่กางเขนก็คือ การเฆี่ยนตีผู้กระทำผิดจนเกือบจะตาย จากประวัติศาสตร์ที่มิได้ระบุระยะเวลาอย่างชัดแจ้ง, นักโทษที่ถูกโบย 40 ที ถึงแก่ความตาย ดังนั้นเองพวกทหารโรมันจึงโบยนักโทษแต่เพียง 39 ที เท่านั้น โดยใช้แส้ที่มีสายหนังหลายเส้น แต่ละเส้นมีหินหรือกระดูกแหลมคมติดอยู่ที่ปลายแส้ นักโทษที่ถูกโบยจะมีแผ่นหลังและสีข้างเป็นรอยแตกยับ กระดูกสันหลังได้รับความกระทบกระเทือนจนประสาทถูกทำลาย

การแบกไม้กางเขน – นักโทษบางคนต้องแบกไม้กางเขนไปยังแดนประหารเป็นระยะทางไกล เพื่อประจานตัวเอง มิให้ประชาชนเอาเป็นเยี่ยงอย่างโดยทั่วไปแล้ว นักโทษผู้เคราะห์ร้ายจะถูกบังคับให้แบกกางเขน

นักประวัติศาสตร์ รายงานเราว่า ชาวโรมันใช้วิธีตรึงที่กางเขน 2 แบบ ในสถานที่ต่างกันและอันที่จริงแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาใช้วิธีใดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

วิธีแรก พวกทหารโรมันจะปักไม้ท่อนตรงลงในแดนประหารอย่างแน่นหนา นักโทษจะถูกบังคับให้แบกไม้อีกท่อนหนึ่ง (ซึ่งมีขนาดและน้ำหนักพอๆ กับไม้หมอนรถไฟ) ไป จนถึงที่ประหารซึ่งทหารโรมันจะตรึงแขนทั้งสองข้างของเขากับท่อนไม้ที่แบกมา จากนั้นก็จะยกขึ้นพาดกับไม้หลักตรงรอยบาก แล้วผูกให้ติดกันแน่น พวกทหารจะตอกตะปูทะลุเท้าของนักโทษให้ติดแน่นกับไม้หลัก โดยให้เข่าทั้งคู่งอ และฝ่าเท้านาบไปกับไม้หลักนั้น

วิธี ที่สอง ทหารโรมันจะเอาไม้มาประกอบกันเป็นไม้กางเขน แล้วบังคับให้นักโทษแบกลากไปยังแดนประหาร ณ ที่นั้นพวกเขาจะตรึงแขนและเท้าของนักโทษกับไม้กางเขน ดังได้พรรณนามาแล้วข้างต้น การตรึงทั้งสองวิธีจะใช้เชือกหรือสายหนัง รัดรึงแขนทั้งสองข้างของผู้เคราะห์ร้ายเข้ากับบางเขน บางครั้งอาจใช้แทนการตอกตะปู หรืออาจใช้ประกอบเพิ่มจากการตอกตะปูแล้วก็ได้

จากนั้น พวกเขาก็จะช่วยกันยกกางเขนมาหย่อนลงในหลุมที่ขุดในหินแล้วตอกลิ่มที่โคน กางเขนเพื่อมิให้โคลงเคลง ตอนนี้เองที่ความทุกข์ทรมานจนตายอย่างช้าๆ ได้เริ่มขึ้น เมื่อแขนทั้งสองข้างของนักโทษเหยียดออก น้ำหนักของร่างกายก็ถ่วงลงจากข้อมือ ดึงกล้ามเนื้อที่ทรวงอก (ซึ่ง มีหน้าที่ควบคุมการหายใจ) ทำ ให้เกิดอาการชา การหายใจติดขัด ตามเนื้อตามตัวของนักโทษจะปรากฎ รอยจ้ำ ดำๆ หลายๆ แห่งให้เห็น ทั้งนี้เพราะร่างกายขาดออกซิเจน ดังนั้นเพื่อจะได้หายใจสักหนึ่งหรือสองเฮือก นักโทษผู้ อ่อนระโหยโรยแรงก็จะกระเสือกกระสนเหยียดตัวขึ้น โดยการเขย่งเท้า (ทำให้น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดมาตกที่ตะปูตัวที่แทงทะลุเท้าทั้งสองข้าง)

แต่ในไม่ช้าผู้เคราะห์ร้ายก็จะทิ้งตังลงอยู่ในสภาพเดิม) (คือ เข่างอทั้งคู่) เพราะ เจ็บปวดแสนสาหัส เขาจะเหยียดตัวขึ้นแล้วก็ทิ้งตัวลงอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ครั้นเวลาร่วงเลยไป ร่างที่บอบช้ำหมดเรียวแรงก็จะหยุดนิ่ง เขย่งขาไม่ได้อีก นักโทษจะสั่นเทาไปทั้งตัว ทั้งนี้เพราะกล้ามเนื้อที่ทรวงอกเป็นอัมพาต ทำให้หายใจไม่ออก มีนักโทษประหารบางรายทนการทรมานอย่างนี้ ได้นานจนพวกทหารโรมันต้องใช้หอกเสียบ และทุบขาให้หักทั้งสองข้าง เพื่อทำให้เขาไม่สามารถเหยียดตัวขึ้นหายใจได้ ไม่ช้าก็จะเกิดการชักกะตุกอย่างรุนแรงที่บริเวณหน้าอกของนักโทษ ทำให้เขาสิ้นชีวิตลงทันที

ลองพิจารณาดูเถิดว่า ลมหายใจ (ของนักโทษ) แต่ ละเฮือกนั้นมีค่ามากเพียงใด เพราะฉะนั้นพระดำรัสของ พระเยซูบนไม้กางเขน เกี่ยวกับการอภัยบาปจึงมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ และเนื่องจากพระเยซูผู้ทรงฤทธิ์อำนาจไม่จำกัดยินยอมให้พวกเขาแขวนพระองค์เอง ที่กางเขน เพื่อเป็นค่าไถ่พวกเรา ท่านเปาโลจึงเรียกร้องให้เรามีความเชื่อว่า “…. พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณากระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟิลิปปี 2:6)

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ที่มาของซาตาน

ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้ถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์.

"พระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ?" ศาสตราจารย์ถาม

"จริง" นักศึกษาตอบ.

ศาสตราจารย์พูดต่อว่า "ถ้า หากพระเป็นเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจริง
ดังนั้นพระเป็นเจ้าก็สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาด้วย
และเนื่องจากความชั่วร้ายมีอยู่จริง ตามหลักตรรกะที่เราเรียนมา
พระเป็นเจ้าก็คือความชั่วร้ายนั่นเอง" นักศึกษาพากันเงียบกริบ
ศาสตราจารย์ดูมีท่าทีพึงพอใจและคุยโวว่า
เขาได้พิสูจน์อีกครั้งว่าความเชื่อทางคริสตศาสนานั้นเป็นแต่เพียงเรื่องงม
งายเท่านั้น

นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นและขอพูด
"ผมจะขอถามคำถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหมครับศาสตราจารย์?"

"ได้ซิ แน่นอน" ศาสตราจารย์ตอบ .

นักศึกษาคนนั้นยืนขึ้น "ศาสตราจารย์ครับ, ความเย็นมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"

"เธอถามคำถามอะไรของเธอนี่ ? แน่นอนมันย่อมมีอยู่จริงนะซิ.
เธอไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นบ้างเลยหรือไง?"
นักศึกษาคนอื่นๆต่างงุนงงในคำถามของหนุ่มคนนั้น

นักศึกษาหนุ่มพูดต่อ "ความ จริงนะครับ , ความเย็นไม่มีอยู่จริง.
ตามกฎทางฟิสิกส์,
สิ่งที่เราเรียกว่าความเย็นนั้นแท้ที่จริงคือการขาดความร้อน
สสารสามารถส่งผ่านและถ่ายเทความร้อนกันได้
และความร้อนก็ถ่ายเทจากสสารหนึ่งไปสู่สสารหนึ่ง ศูนย์องศาสมบูรณ์
(Absolute zero = -460 degrees F) ก็คือการขาดความร้อนโดยสิ้นเชิง
ในสภาวะเช่นนั้นสสารจะเฉื่อยและไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ--
ความเย็นไม่มีอยู่จริง
เรานิยามคำนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงความรู้สึกเมื่อเราขาดความร้อนเท่านั้น
ครับ."

และนักศึกษาหนุ่มก็พูดต่ออีก "ศาสตราจารย์ครับ แล้วความมืดมีอยู่จริงหรือไม่ครับ? "

ศาสตราจารย์ตอบ "ใช่......มันมีอยู่จริง."

นักศึกษาจึงพูดขึ้น "ท่าน ตอบผิดอีกครั้งแล้วครับ ,
ความมืดไม่มีอยู่จริงหรอก . แท้จริงความมืดก็คือการขาดแสงสว่าง
เราสามารถศึกษาเรื่องของแสงได้ แต่เราไม่สามารถศึกษาเรื่องความมืดได้เลย
เราใช้แก้วปริซึมในการแยกแสงออกเป็นหลายสีและศึกษาช่วงความถี่ของแสงแต่ละสี
ได้ แต่คุณไม่สามารถวัดค่าของความมืด
รังสีของแสงสามารถเข้าไปในโลกของความมืดและทำให้มันสว่างไสว
ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอวกาศมืดมากน้อยแค่ไหน?
ก็โดยการวัดปริมาณของแสงสว่างที่มีอยู่ใช่ไหม?
ความมืดเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายถึงสิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีแสง
สว่างนั่นเอง ."


นักศึกษาหนุ่มคนนี้ก็ถามคำถามอีก "ท่านครับ แล้วความชั่วมีอยู่จริงหรือไม่ครับ ?"

คราวนี้ศาสตราจารย์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ "แน่ นอน
ตามที่ฉันบอกเอาไว้แล้ว เราก็เห็นอยู่ทุกๆวันนี่นา ในชีวิตประจำวันของเรา
มีอาชญากรรมและความรุนแรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกซึ่งก็คือความชั่วร้ายนั่น
แหละ."

นักศึกษาตอบอีก "ความชั่วไม่ มีอยู่จริงหรอกครับท่าน,
หรือมิฉะนั้นมันก็ไม่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง.
ความชั่วก็คือการขาดพระเป็นเจ้า
มันก็เหมือนกับความมืดและความเย็นนั้นแหละครับ
มันเป็นคำนิยามที่มนุษย์ใช้อธิบายถึงการขาดพระเป็นเจ้า
พระเป็นเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา
ความชั่วร้ายแตกต่างจากความเชื่อหรือความรักซึ่งมีอยู่จริง
เช่นเดียวกับแสงสว่างและความร้อน
ความชั่วร้ายเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ไม่มีความรักของพระเป็นเจ้า
ในหัวใจของเขา เช่นเดียวกับความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความร้อน
หรือความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีความสว่างนั้นแหละครับ ."

ศาสตราจารย์หย่อนตัวลงนั่ง นิ่งอึ้งไป.

นักศึกษาหนุ่มผู้นั้นมีชื่อว่า - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

...

ในความเป็นจริง แม้เดิมซาตานจะเคยเป็นลูซิเฟอร์
หัวหน้าทูตสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างก็จริง
แต่ความชั่วร้ายในตัวมันก็มิได้มีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า
แต่มีต้นกำเนิดมาจากตัวของมันเอง (เทียบ ยอห์น 8:44)
สาเหตุที่ทำให้ต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้ายนี้อุบัติขึ้นในตัวของมันเอง
ก็มาจากการที่มันแยกตัวเองจากพระเจ้า ไม่พึ่งพิงพระเจ้า
เป็นเอกเทศจากพระเจ้า จึงคิดตั้งตนขึ้นเสมอพระเจ้า (อิสยาห์ 14:12-15)

ขณะที่พระเจ้าเนรมิตสร้างมนุษย์
พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์พึ่งพิงพระองค์โดยการกินต้นไม้แห่งชีวิต
ซึ่งต้นไม้แห่งชีวิตก็เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ที่เล็งถึงตัวของพระเจ้าเอง
เมื่อมนุษย์ไม่พึ่งพิงพระองค์ ไม่กินพระองค์เป็นต้นไม้แห่งชีวิต (ยอห์น
6:57; 15:5) แต่ไปรับเอาต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่วเข้ามาแทนพระเจ้า
(ซึ่งทั้งความรู้ ความดี และความชั่วก็ล้วนแต่ไม่ใช่พระเจ้า
มีแต่จะส่งเสริมให้เราเป็นอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพิงพระเจ้า)
มนุษย์ก็เลยยิ่งแยกไปจากพระเจ้า ยิ่งเป็นหนึ่งกับซาตาน

สำหรับพระเจ้าแล้ว
การกระทำของมนุษย์ที่พระองค์ทรงเห็นว่าชั่วร้ายที่สุดก็คือการไปพึ่งพิงสิ่งอื่น
ยึดเอาสิ่งอื่นมาหล่อเลี้ยงชีวิตของตน แทนที่พระเจ้า
ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต
และเป็นการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตที่แท้จริงของเรา (เยเรมีย์ 2:13)

วันนี้ เราดำเนินชีวิตโดยพึ่งพิงพระองค์หรือไม่? เราเป็นคนดี
ด้วยความพยายามของเรา หรือเพราะเราพึ่งพิงพระเจ้า? เราปรนนิบัติพระเจ้า
ด้วยความร้อนรนของเรา
หรือโดยยึดพระเจ้าเป็นต้นกำเนิดที่หล่อเลี้ยงชีวิตแก่เรา?
ความสว่างที่เราได้จากการอ่านพระคัมภีร์ มาจากความฉลาดของเรา
หรือมาจากพระวิญญาณที่ฉายส่องในการอธิษฐาน (เทียบ อิสยาห์ 50:11)?

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เราคือเยซูมารายงานตัว

เราคือเยซู มารายงานตัวในวันนี้

ศิษยาภิบาลเรียนบทเรียนหนึ่งด้วยความรักจากชายแปลกหน้าผู้มาเยือนคริสตจักร วันหนึ่งศิษยาภิบาลเดินทางผ่านคริสตจักรของเขาเองในตอนเที่ยง จึงคิดจะแวะดูสักนิดว่าจะมีใครมาอธิษฐานในคริสตจักรไหม ทันได้นั้นเอง ประตูหลังก็เปิดออก พร้อมกับชายคนหนึ่งเดินเข้ามาตามทางเดิน ศิษยาภิบาลหน้านิ่วถมึงทึงด้วยความไม่พอใจ ชายคนนี้ไม่ได้โกนหนวดเครา เสื้อเชิ้ตออกจะเก่าซอมซ่อ เสื้อนอกก็ขาดวิ่นและหลุดลุ่ย เขาคุกเข่าลง และก้มศีรษะ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินจากไป หลายวันต่อมา ตอนเที่ยงหมอนี่ก็โผล่มาที่คริสตจักรอีกเป็นประจำ ในแต่ละครั้งเขาจะมาคุกเข่าอยู่สักครู่หนึ่ง มีกล่องอาหารกลางวันบนหน้าตัก แน่นอน! ศิษยาภิบาลตั้งข้อระแวงว่า หมอนี่คงเป็นพวกหัวขโมยแน่ๆ!!!
เขาตัดสินใจเข้าไปคุยกับชายผู้นี้ “คุณมาทำอะไรที่นี่หรือ?” ชายแก่จึงเล่าให้ฟังว่า เขาทำงานที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายนี้ มีเวลาพักเที่ยงครึ่งชั่วโมง และเวลาเที่ยงเป็นเวลาอธิษฐาน เพื่อเขาจะได้รับเรี่ยวแรงและฤทธิ์เดช
“ ผมอยู่ได้เพียงชั่วครู่เพราะโรงงานอยู่ไกลมาก เมื่อผมคุกเข่าลงและพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมจะบอกอย่างนี้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมเข้ามาอีกครั้ง เพื่อจะบอกพระองค์ ว่าผมมีความสุขมากแค่ไหนตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกัน และพระองค์ทรงยกโทษบาปของผม ผมอธิษฐานไม่ค่อยเก่งนัก แต่ผมคิดถึงพระองค์ทุกวัน พระเยซู… ผม-จิม มารายงานตัววันนี้ ”ศิษยาภิบาลรู้สึกกระอักกระอวนกับความเขลาของตน จึงบอกจิมไปว่า เขาสามารถมาที่นี่และอธิษฐานได้ทุกเวลา ครั้นได้เวลาจากกัน จิมส่งยิ้มให้และกล่าว “ขอบคุณ” พร้อมกับเร่งรีบไปที่ประตู ศิษยาภิบาลคุกเข่าตรงแท่นข้างหน้า อย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน หัวใจที่เย็นชาของเขาหลอมละลายและอบอุ่นขึ้นด้วย ความรัก …เขาได้พบพระเยซูที่นั่น ในขณะที่น้ำตาไหลพรากอยู่นั้น ภายในหัวใจของเขาได้อธิษฐานตามอย่างเฒ่าจิมที่ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมเข้ามาอีกครั้ง เพื่อจะบอกพระองค์ว่า ผมมีความสุขแค่ไหนตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกันและพระองค์ทรงยกโทษบาปของผม ผมอธิษฐานไม่ค่อยเก่งนัก แต่ผมคิดถึงพระองค์ทุกวัน พระเยซู…นี่ผมเอง มารายงานตัววันนี้" บ่ายวันหนึ่ง ศิษยาภิบาลเริ่มสังเกตว่าจิมไม่ได้มาเหมือนเคย และเวลาผ่านไปอีกหลายวัน โดยที่จิมไม่ได้ปรากฏตัว เขาเริ่มรู้สึกวิตก ที่โรงงาน ศิษยาภิบาลมาถามหาชายชราชื่อ จิม และได้ความว่า เขาป่วย คนที่โรงงานต่างก็เป็นห่วงกับอาการของจิม แต่เขากลับทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ ช่วงสัปดาห์ที่จิมอยู่ด้วยนั้น นำการเปลี่ยนแปลงมาอย่างถ้วนทั่ว รอยยิ้มของเขากับความปิติยินดีที่เป็นเหมือนโรคระบาด ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปคือรางวัลใหญ่ของเขา หัวหน้าพยาบาลไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดจิมจึงดีใจอยู่เสมอ ทั้งที่ไม่มีดอกไม้เยี่ยมไข้ โทรศัพท์ หรือบัตรอวยพร ไม่มีใครสักคนมาเยี่ยม ศิษยาภิบาลยืนอยู่ข้างเตียงเขา ฟังเสียงรำพันของพยาบาลผู้เป็นห่วง โอ้…จิม ไม่มีเพื่อนมาแสดงความห่วงใย ไม่มีใครที่เขาจะพึ่งพิงได้ แต่น่าแปลกใจ
เฒ่าจิมอธิบายขึ้นด้วยรอยยิ้มละไมของชัยชนะ " คุณพยาบาลไม่เข้าใจ เธอไม่รู้หรอกว่า ในครู่ใหญ่ๆ ของทุกเที่ยงวัน พระองค์อยู่ที่นี่ เพื่อนรักของผม คุณเห็นไหมว่าพระองค์กำลังนั่งอยู่ ทรงกุมมือผมไว้ โน้มเข้ามาใกล้และบอกว่า “เราเข้ามาอีกครั้ง…จิม …เพื่อบอกเจ้าว่าเรามีความสุขมากแค่ไหนตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกัน และเรายกโทษบาปของเจ้า เรารักที่จะฟังเจ้าอธิษฐานเสมอ และเราคิดถึงเจ้าทุกวัน จิม…เราคือเยซู มารายงานตัวในวันนี้” "

บาปทางตา

บาปทางตา โดย อ.ดารณี ประดับชนานุรัตน์
I have made a covenant with my eyes; how then could I look upon a virgin? (Job 31:1) ข้าได้กระทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้า แล้วข้าจะมองหญิงพรหมจารีได้อย่างไร? (โยบ 31:1)

เย็นวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพักผ่อนอยู่บนชั้นสอง ลูกสาวคนเล็กวิ่งขึ้นมาหาข้าพเจ้าหน้าตาตื่นบอกว่า มีคนที่ไม่รู้จักส่งภาพลามกมาให้ทางอีเมล์ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่ลูกสาวกำลังเล่นอินเตอร์เน็ตและเปิดเข้าไปเช็คจดหมายที่ hotmail ก็เห็นจดหมายเข้าหลายฉบับ มีทั้งของเพื่อนและของคนที่ไม่รู้จักซึ่งมักจะเป็นประเภท junk mail (คือจดหมายโฆษณาหลอกล่อให้ซื้อสินค้าต่างๆ) เมื่อลูกสาวลองคลิ๊กเข้าไปดู เท่านั้นแหละได้เรื่องเชียว ภาพน่าเกลียดหลายภาพปรากฏขึ้นทันทีบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งล้วนเป็นภาพลามกอนาจาร ลูกสาวคนเล็กตกใจทำอะไรไม่ถูก ร้องเรียกให้พี่สาวซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆมาช่วย ทั้งสองคนจึงช่วยกันคลิ๊กปิดรูปทั้งหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวมีประสบการณ์เลวร้ายอย่างนี้ บางครั้งความบาปตามล่าเราและหาช่องทางเข้าถึงตัวเราในรูปแบบต่างๆ แม้ว่าเราจะพยายามระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้วที่จะไม่ไปข้องเกี่ยวกับมันก็ตาม
ภาพลามกอนาจารทางอินเตอร์เน็ตนั้นถือเป็นความบาปรูปแบบใหม่ที่พยายามเข้าถึงตัวเราและกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในปัจจุบัน หลายคนอาจวิ่งเข้าไปหามันเอง แต่หลายคนแม้อยู่เฉยๆหรือพยายามหนีมันแล้ว ก็ยังอาจถูกสิ่งหล่านี้ตามมารังควาญ แรกๆที่เราพบเจอเราอาจตกใจกลัว แต่หากไม่ระวังและรีบหาทางป้องกัน ความตื่นกลัวจะหายไป ความอยากรู้อยากเห็นจะเข้ามาแทนที่ และในที่สุดเราก็จะเป็นฝ่ายหาทางเข้าไปหามัน และถูกมันเกาะกุมชีวิตจนตกเป็นทาสของมันทั้งกาย ใจ และวิญญาณ ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่อวัยวะเล็กๆแต่สำคัญอย่างยิ่งนั่นก็คือ “นัยน์ตา” มีคนกล่าวว่า “ตา” เป็นหน้าต่างของหัวใจ ดังนั้น ถ้าหากเราเปิดหน้าต่างนี้ออกรับสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน สิ่งที่ชั่ว สิ่งเหล่านี้จะเข้ามาเกาะกุมจิตใจ และทะลุทะลวงเข้าไปกัดกินถึงจิตวิญญาณ ตัวเลขและสถิติผู้เสพย์ติดภาพอนาจารทางอินเตอร์เน็ต จากการสำรวจในปัจจุบันพบว่า มีชาวอเมริกันถึง 25 ล้านคนที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าไปดูภาพลามกอนาจาร และถ้านับรวมเว็บไซต์ทั่วไปที่ส่อเค้าไปในทางอนาจารแล้ว ตัวเลขจะพุ่งสูงถึง 40 ล้านคนเลยทีเดียว เราอาจยังไม่รู้จำนวนที่แน่นอนของคนไทยที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเว็บไซต์ประเภทนี้ แต่เชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อย และนับวันก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและรวดเร็วจนน่ากลัว ถ้าหากคุณคิดว่า มีแต่คนไม่เป็นคริสเตียนเข้าไปดูภาพอนาจารทางอินเตอร์เน็ต คุณก็กำลังเข้าใจผิด ปัจจุบันมีคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนทั้งที่เป็นฆราวาสและผู้รับใช้ ตกอยู่ในความบาปนี้จำนวนไม่น้อยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ แม้แต่คริสเตียนที่มีวินัยในตัวเองสูงก็ยังพลาดเข้าไปติดบ่วงการทดลองนี้ได้หากไม่ระวังพอ
สตีฟ (นามสมมติ) เป็นผู้ช่วยศิษยาภิบาลที่โบสถ์แห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ เขาเป็นผู้ก่อตั้งพันธกิจใหม่ๆหลายแห่งและยังได้รับเชิญเป็นวิทยากรค่ายหนุ่มสาวอยู่เสมอ มีอยู่วันหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว สตีฟแวะไปเชียร์ฟุตบอลร่วมกับเพื่อนบ้านหลายคนที่ไม่เป็นคริสเตียน โดยใช้สถานที่ที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง ระหว่างที่ดูฟุตบอลกันอยู่นั้น เพื่อนบ้านของสตีฟก็พูดขึ้นเป็นเชิงตลกว่า การที่สตีฟมาแวะที่บ้านเขา ทำให้เขาต้องรีบเอานิตยสารเพลย์บอย ภาพโป๊ และพวกแค็ตตาล็อคชุดชั้นในวาบหวิวของผู้หญิงที่สะสมอยู่ไปซ่อนให้พ้นสายตาของสตีฟ เพราะไม่อยากทำให้ผู้ช่วย ศบ.ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องคนนี้รู้สึกอึดอัดใจ แต่เพื่อนบ้านของสตีฟหารู้ไม่ว่า ตัวสตีฟเองก็แอบสะสมนิตยสารโป๊ วีดิโอโป๊ รายชื่อเว็บไซต์ที่มีภาพลามกอนาจาร รวมไปถึงเบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการทางเพศทางโทรศัพท์ด้วย สตีฟไม่ใช่ผู้รับใช้รายเดียวที่มีพฤติกรรมแบบนี้ จากการสำรวจพบตัวเลขที่น่าตกใจว่า ศิษยาภิบาลในอเมริกาทุกหนึ่งในเจ็ดคน เคยแอบดูภาพลามกอนาจาร และการสำรวจผู้อ่านนิตยสาร “Christianity Today” ก็พบว่า ผู้อ่านที่เป็นคริสเตียนฆราวาส มีถึง 1 ใน 3 ที่เข้าไปดูเว็บไซต์อนาจาร และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ผู้อ่านที่เป็นคริสเตียนผู้รับใช้ มีจำนวนถึง 1 ใน 3 เช่นกันที่ยอมรับว่าตัวเองก็เข้าไปดูเว็บไซต์ประเภทนี้ด้วย การศึกษาวิจัยยังพบว่า ไม่ใช่ผู้ชายเท่านั้นที่มีปัญหานี้ ผู้หญิงในวัย 30-35 ซึ่งอยู่ในวัยที่การงานอาชีพของสามีกำลังรุ่งโรจน์และต้องเดินทางไกลเป็นเวลานานบ่อยๆ ทำให้พวกเธอมีเวลาในการเล่นอินเตอร์เน็ตและเสพย์ติดภาพอนาจาร ที่แย่กว่านั้นคือ จากตัวเลขรายงานการวิจัยที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว พบว่า เด็กจำนวนมากที่นั่นกำลังเสพย์ติดภาพลามกอนาจาร ทุก 9 ใน 10 คนของเด็กที่มีอายุระหว่าง 11-16 ปี ล้วนเข้าไปดูเว็บไซต์ลามกอนาจารกันมาแล้วทั้งสิ้น

อันตรายของการเสพย์ภาพลามกอนาจาร
o เป็นมะเร็งร้ายที่ทำลายคุณค่าทางสังคมของมนุษย์ และส่งผลเลวร้ายติดตามมาอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการล่วงเกินเด็กทางเพศ ความรุนแรงทางเพศ การข่มขืน โรคร้ายที่ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ ฯลฯ
o ครอบครัวถูกทำลาย (จากสถิติพบว่า การหย่าร้าง หรือ การล่วงเกินเด็กทางเพศ หรือ การข่มขืน มักมีจุดเริ่มต้นจากบางคนในครอบครัวเสพย์ติดภาพอนาจาร)
o ชื่อเสียงที่ส่ำสมมานานถูกทำลาย ศักดิ์ศรีที่มีอยู่จะไม่เหลือเมื่อคู่สมรส ลูก และเพื่อนๆรับทราบสิ่งที่คุณทำ
o ชีวิตและจิตวิญญาณถูกทำลายไม่ช้าก็เร็ว (เคยมีคริสเตียนบางคนเสพย์ภาพอนาจารเมื่อตอนเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ สิ่งนั้นฝังรากลึกและส่งผลติดตามเขาไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ เขาเกิดความอยากอีกครั้งเมื่อต้องเดินทางจากครอบครัวไปไกลๆ เขาแอบดูหนังลามกอนาจารทางเคเบิ้ลทีวีในโรงแรมที่เขาพัก และเสพย์ติดอยู่นานถึง 15 ปีกว่าจะสามารถหลุดพ้นมาได้)
o ตกเป็นทาสของมันได้ทุกเพศวัย เสพย์ติดได้กับคนทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียน
o การเงินรั่วไหลจนถึงขั้นเป็นหนี้สิน เพราะเว็บไซต์อนาจารเหล่านี้จะให้คุณชมฟรีในระยะหนึ่งเท่านั้นเพื่อเป็นเหยื่อล่อ หลังจากนั้นถ้าคุณอยากดูอีกคุณจะต้องจ่ายเงินโดยใช้บัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้คุณสูญเสียเงินจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว
o เมื่อเสพย์แล้วเลิกยาก การเลิกเสพย์เหล้า บุหรี่หรือยาเสพย์ติดที่ว่ายากแล้วยังง่ายกว่าการเลิกเสพย์ภาพลามกอนาจาร เพราะเหล้า บุหรี่ หรือยาเสพย์ติด เป็นสิ่งที่สามารถเลิกโดยผ่านขั้นตอนการถอนยาและการหยุดใช้มัน แต่การเลิกเสพย์ภาพลามกอนาจารนั้นต่างกัน เพราะถึงคุณหยุดใช้หยุดดู แต่ภาพเหล่านั้นจะฝังติดอยู่ในสมองของคุณ มันจะวนเวียนอยู่ในความคิด คุณไม่สามารถลบมันออกได้เหมือนอย่างลบดินสอ ดังนั้นการเสพย์สิ่งเหล่านี้จึงอันตรายมาก และต้องพึ่งกระบวนการบำบัดรักษาในระดับลึก
o สูญเสียเวลาอันมีค่าไปมากมาย ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ หมดเรี่ยวแรง ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ขาดสมาธิ ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานและครอบครัว
o กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะคุณจะคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงแต่ความอยาก ความปรารถนา และความต้องการในตัวคุณ ถ้าคุณจะลองคิดสักนิดว่า ผู้หญิงในภาพเป็นหลานของคุณ เป็นน้องของคุณ หรือลูกสาวของคุณเอง คุณจะรู้สึกละอายใจมาก
o ถ้าคุณยังเป็นโสด มันจะทำลายชีวิตสมรสของคุณในอนาคต เพราะมันทำให้คุณจินตนาการคู่สมรสของคุณในรูปแบบภาพอนาจารที่คุณเคยดู ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงมันจะไม่เป็นเช่นนั้น คุณจะผิดหวังแน่นอน คู่สมรสในอนาคตของคุณต้องการให้คุณรักและให้เกียรติเขา เขาไม่ต้องการเป็นนักแสดงที่ต้องมาแสดงหรือทำอะไรให้คุณดู
o มันทำให้คุณหลอกตัวเองเสมอว่า การดูภาพโป๊หรือภาพลามกอนาจารเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คุณมีสิทธิ์หาความเพลิดเพลินได้เพื่อความสุขทางเพศ นี่เป็นคำมุสา พระเจ้าทรงเรียกเราให้ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ และทรงเตือนให้ทราบถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นถ้าเราดำเนินชีวิตที่ตรงกันข้าม (1 ธส.4:3-7; กท.6:7-9) วิธีปกป้องตนเอง คู่สมรส และลูกๆ ให้พ้นจากการเสพย์ภาพอนาจารทางอินเตอร์เน็ต
o ตระหนักไว้เสมอถึงภัยอันตรายที่อินเตอร์เน็ตอาจหยิบยื่นให้ถ้าใช้ผิดทาง การดูภาพลามก อนาจารทางอินเตอร์เน็ตก็คือการล่วงประเวณีกับผู้หญิงหรือผู้ชายในภาพนั้นทางใจ และเป็นการปลุกเร้าราคะตัณหาในตัวเรา ขอให้ตระหนักว่า นี่เป็นบาปที่ใหญ่หลวงและน่าสะพึงกลัวที่เราควรหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด
o สร้างป้อมปราการเพื่อสะกัดกั้นการทดลองและปกป้องตัวเราให้พ้นจากบ่วงแร้วนี้ด้วยการ
1.ใช้ซอฟแวร์ที่มีคุณสมบัติในการสะกัดกั้นเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
2.ติดต่อหน่วยงานผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตที่มีบริการปกป้องผู้ใช้ไม่ให้ถูกรบกวนด้วยเว็บไซต์อนาจาร
3.สร้าง password ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกๆแอบเข้าอินเตอร์เน็ตตามลำพัง
4.ใส่รูปภาพของภรรยา ลูก หรือ คนในครอบครัว หรือแม้แต่ภาพของพระเยซูคริสต์ หรือข้อพระวจนะต่างๆ ไว้บน desktop หรือ screen saver เพื่อเตือนใจ
5.ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ (ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน) ไว้ในจุดหรือมุมที่คนอื่นสามารถมองเห็นได้เวลาเราเปิดใช้
6.หลีกเลี่ยงการใช้อินเตอร์เน็ตในเวลาดึก หรือในช่วงเวลาที่ทุกคนเข้านอนกันหมด หรือในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน วิธีแก้ไขและบำบัดรักษาผู้เสพย์ติดภาพอนาจารบนอินเตอร์เน็ต
o ต้องยอมรับก่อนว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆที่คุณสามารถจัดการได้ตามลำพัง อย่าหลอกตัวคุณเองอีกต่อไปโดยการอ้างว่าคุณสามารถควบคุมมันได้
o คนที่เสพย์ติดภาพอนาจารไม่สามารถหลุดพ้นจากการเป็นทาสโดยพึ่งวิธีการของมนุษย์ หรือรับความช่วยเหลือผ่านการให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่ต้องพึ่งฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า มนุษย์นั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์ด้วยกัน แต่สำหรับพระเจ้าแล้วทุกสิ่งเป็นไปได้
o อย่าต่อสู้การทดลองนี้ตามลำพัง ขอให้บอกคู่สมรส (ความซื่อสัตย์ต่อกันเป็นเรื่องที่สำคัญมากในชีวิตสมรส) และพี่น้องในพระคริสต์บางคน เพื่อให้พวกเขาอธิษฐานเผื่อและช่วยเหลือคุณในยามที่อ่อนแอ (อ่าน ยากอบ 5:16 และ ปัญญาจารย์ 4:12)
o การบำบัดรักษาผู้เสพย์ติดบางคน อาจถึงขั้นต้องให้หยุดใช้อินเตอร์เน็ตทันที ซึ่งย่อมหมายถึงการเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนตำแหน่ง ไปทำหน้าที่ที่ไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต
o การใช้ซอฟแวร์ที่ช่วยสะกัดกั้นเว็บไซต์ลามกก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ดีและช่วยได้มาก แม้มันจะไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม
o สำรวจตัวคุณเองว่า คุณมักตกในการทดลองเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน เมื่อไหร่ และที่ไหน คุณต้องหาทางจัดการกับมัน ถ้าคุณรู้ว่าคุณมักตกในการทดลองเมื่ออยู่ตามลำพังในห้องส่วนตัวของคุณ ก็ขอให้ย้ายคอมพิวเตอร์ออกจากห้องนั้นไปอยู่ในที่ส่วนกลางที่คนอื่นมองเห็นได้ แต่ถ้าหากคุณพบว่า ปัญหานี้มักเกิดขึ้นตอนดึก ก็ขอให้ใช้ซอฟแวร์ที่สามารถป้องกันไม่ให้คุณเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ในช่วงเวลาดังกล่าว และถ้าหากการทดลองนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณอยู่บ้านคนเดียว ก็ขอให้ติดตั้งตัวล็อคคอมพิวเตอร์ และมอบกุญแจไว้กับคนอื่น และถ้าการทดลองนี้เกิดขึ้นในที่ทำงาน ขอให้บอกหัวหน้าหรือเจ้านายเพื่อหาทางแก้ไข
o ท่องจำพระธรรมบางข้อและฝังพระวจนะนั้นไว้ในใจ เช่น สดุดี 119:9,11; รม.12:1-2; 1 คร.10:13)
o ลบรายชื่อเว็บไซต์อนาจารและภาพลามกต่างๆที่คุณเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์หรือแผ่นดิสต์ออกไปให้หมด และวางพระคัมภีร์ไว้ในจุดที่คุณสามารถมองเห็นได้เสมอเพื่อเตือนใจให้คุณหยิบขึ้นมาอ่าน
o อุทิศตัวในการอ่านพระวจนะและใช้เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้ามากขึ้น ลองคิดดูว่าคุณเคยใช้เวลากี่ชั่วโมงในการดูทีวีหรือเล่นอินเตอร์เน็ต ขอให้คุณดึงเวลาเหล่านั้นออกมาบางส่วนเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าและอ่านพระคัมภีร์ o อย่าปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่างมากเกินไป ถ้าคุณมีเวลาว่างมาก ให้ออกกำลังกาย หรือออกไปพบปะเพื่อนฝูง หรือเยี่ยมเยียนพ่อแม่ญาติพี่น้อง หรือหางานอดิเรกทำ
o ลองทบทวนชีวิตของตัวเองว่า กำลังคบเพื่อนฝูงประเภทไหน ถ้าคุณมีเพื่อนประเภทที่ชอบดูภาพโป๊หรือภาพลามกอนาจาร โอกาสที่คุณจะรอดพ้นจากการทดลองนี้ก็ยาก ขอให้คุณเริ่มต้นอธิษฐานขอพระเจ้าประทานมิตรสหายที่ดีแก่คุณ
o ปรับปรุงแก้ไขความสัมพันธ์ที่คุณกำลังมีกับเพื่อนเพศตรงข้ามทุกคน จงมองพวกเธออย่างให้เกียรติ และมองเธอในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ อย่ามองดูพวกเธอเหมือนวัตถุที่ให้ความเพลิดเพลิน หรือเป็นสิ่งที่สนองความต้องการในตัวคุณ
o จงมีความเชื่อมั่นว่า คุณสามารถเอาชนะปัญหานี้ได้ ถ้าหากคุณเคยพยายามแล้วแต่ล้มเหลว ขอให้จำไว้เสมอว่า พระเจ้ารักคุณ และทรงประสงค์ให้คุณลุกขึ้นใหม่ และเดินหน้าสู้ต่อไป….อย่ายอมแพ้ ! (อ่าน สดุดี 46:1-3)
“แต่ส่วนคนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจอันเดียวกันกับพระองค์ จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี บาปอย่างอื่นที่มนุษย์กระทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้นทำผิดต่อร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด” 1 โครินธ์ 6:17-20

จดหมายรักจากพระบิดา

จดหมายรักจากพระบิดา
ข้าพเจ้าได้รับ ?จดหมายรักจากพระบิดา? จากพี่น้องท่านหนึ่งซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ที่รวบรวมขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายที่จะบอกเล่าถึงเรื่องราวของพระเจ้าในอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่ออ่านแล้วได้รับพระพรมากจึงขอนำมาแบ่งปันดังนี้:
บุตรของเราเอ๋ย …??เจ้าอาจจะไม่รู้จักเรา แต่เรารู้จักเจ้าในทุก ๆเรื่อง … สดุดี 139:1?เรารู้เมื่อเจ้านั่งลงและเมื่อเจ้าลุกขึ้น … สดุดี 139:2?เราคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของเจ้า … สดุดี 139:3?แม้แต่ผมของเจ้าก็ถูกนับไว้แล้วทุกเส้น … มัทธิว 10:29-31?ด้วยว่าเจ้าได้ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของเรา … ปฐมกาล 1:27?เจ้ามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่โดยเรา … กิจการ 17:28?เพราะเจ้าเป็นเชื้อสายของเรา … กิจการ 17:28?เรารู้จักเจ้าก่อนที่เจ้าจะถูกก่อร่างสร้างเป็นตัวตนขึ้นมา … เยเรมีย์ 1:45?เราเลือกเจ้าไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่เราวางแผนการเนรมิตสร้างนั้น … เอเฟซัส 1:11-12?เจ้าไม่ได้เกิดมาอย่างผิดพลาด ด้วยว่าวันทั้งหลายของเจ้าก็ถูกจารึกไว้ในสมุดของเรา … สดุดี 139:15-16?เราได้กำหนดเวลาเกิดที่แน่นอนของเจ้า และเขตแดนที่เจ้าจะอาศัยอยู่ … กิจการ 17:26?เจ้าถูกสร้างมาให้แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว … สดุดี 139:14?เราได้ทอเจ้าเข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของเจ้า … สดุดี 139:13?และเป็นผู้นำเจ้าออกมาครรภ์ในวันที่เจ้าคลอดออกมานั้น … สดุดี 71:6?คนที่ไม่รู้จักเราก็มองภาพเราอย่างผิดเพี้ยนไป … ยอห์น 8:41-44?เราไม่ได้อยู่ห่างไกลและโกรธเคืองเจ้าเลย แต่ได้สำแดงความรักของเราออกมาอย่างสมบูรณ์ … 1 ยอห์น 4:16?และเป็นความปรารถนาของเราที่จะทุ่มเทความรักของเราให้แก่เจ้า … 1 ยอห์น 3:1ด้วยเหตุผลง่าย ๆก็คือ เจ้าเป็นบุตรของเราและเราเป็นบิดาของเจ้า … 1 ยอห์น 3:1?เราให้แก่เจ้าได้มากกว่าที่บิดาของเจ้าบนแผ่นดินโลกจะสามารถให้ได้ … มัทธิว 7:11?เพราะเราเป็นบิดาผู้ดีรอบคอบ … มัทธิว 5:48?ของประทานอันดีทุกอย่างที่เจ้าได้รับนั้นมาจากมือของเรา … ยากอบ 1:17?เพราะเราเป็นผู้จัดเตรียมสำหรับเจ้า และเราจะตอบสนองความต้องการทั้งปวงของเจ้า … มัทธิว 6:31-33?แผนงานของเราที่เรามีไว้สำหรับอนาคตของเจ้าเต็มไปด้วยความหวังใจเสมอ … เยเรมีย์ 29:11?เพราะเราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ … เยเรมีย์ 31:3 (ยังมีต่อ)
ความคิดของเราที่มีต่อเจ้าก็นัับไม่ถ้วนดุจเดียวกับเม็ดทรายที่ชายทะเล … สดุดี 139:17:18?และเราเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยการร้องเพลง … เศฟันยาห์ 3:17?เราจะไม่หยุดกระทำความดีแก่เจ้า … เยเรมีย์ 32:40?เพราะเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์อันมีค่าของเรา … อพยพ 19:5?เราปรารถนาที่จะตั้งเจ้าไว้อย่างมั่นคงด้วยสุดใจของเราและสุดจิตของเรา … เยเรมีย์ 32:41?และเราประสงค์จะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ให้แก่เจ้า … เยเรมีย์ 33:3?ถ้าเจ้าค้นหาเราด้วยสุดจิตและสุดใจ เจ้าจะพบเรา … เฉลยธรรมบัญญัติ 4:29?จงปีติยินดีในเรา และเราจะให้ตามใจปรารถนาของเจ้า … สดุดี 37:4?เพราะว่าเราเป็นผู้กระทำให้เจ้ามีใจปรารถนาเหล่านั้น … ฟีลิปปี 2:13?เราสามารถกระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เจ้าจะคิดได้ … เอเฟซัส 3:20?ด้วยว่า เราคือผู้ชูใจที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า … 2 เธสะโลนิกา 2:16-17?เราเป็นบิดาผู้ชูใจเจ้าในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเจ้า … 2 โครินธ์ 1:3-4?เมื่อเจ้าจิตใจฟกช้ำ เราอยู่ใกล้เจ้า … สดุดี 34:18?ผู้เลี้ยงแกะอุ้มแกะไปฉันใด เราจะอุ้มเจ้าแนบอกของเราไปฉันนั้น … อิสยาห์ 40:11?จะมีวันหนึ่งที่เราจะเช็ดน้ำตาทุก ๆหยดจากตาของเจ้า … วิวรณ์ 21:3-4?เราจะนำการเจ็บปวดทุกอย่างที่เจ้าต้องทนทุกข์บนแผ่นดินโลกออกไปเสีย … วิวรณ์ 21:3-4?เราเป็นบิดาของเจ้าและเรารักเจ้าเหมือนดังที่เรารักบุตรของเรา คือพระเยซู … ยอห์น 17:23?ด้วยว่าโดยพระเยซู ความรักของเราที่มีต่อเจ้าจึงสำแดงออกมาให้เห็น … ยอห์น 17:26?พระบุตรทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับเรา … ฮีบรู 1:3?พระองค์เสด็จมาเพื่อสำแดงให้เห็นว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้า ไม่ใช่ต่อสู้ขัดขวางเจ้า … โรม 8:31?และเพื่อจะแจ้งให้เจ้าทราบว ่าเรามิได้ถือโทษในการผิดของเจ้า … 2 โครินธ์ 5:18-19?พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อว่าเจ้ากับเราจะสามารถคืนดีกันได้ … 2 โครินธ์ 55:18-19?การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการแสดงออกถึงความรักของเราที่มีต่อเจ้าอย่างสูงสุด … 1 ยอห์น 4:10?เรายอมสละสิ่งสารพัดที่เรารักเพื่อเราจะได้รับความรักจากเจ้า … โรม 8:31-32?ถ้าเจ้ารับของประทานแห่งพระบุตรของเราคือพระเยซู เจ้าก็รับเราด้วย … 1 ยอห์น 2:23?และไม่มีสิ่งใดจะสามารถกระทำให้เจ้าขาดจากความรักของเราได้อีก … โรม 8:38-39?กลับบ้านเถิด แล้วเราจะจัดงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นในสวรรค์ … ลูกา 15:7
เราเป็นพระบิดาเสมอมา และจะเป็นพระบิดาเสมอไปด้วย … เอเฟซัส 3:14-15?คำถามของเราก็คือ … เจ้าจะยอมเป็นบุตรของเราไหม? … ยอห์น 1:12-13?เรากำลังคอยเจ้าอยู่ … ลูกา 15:11-32??ด้วยรัก,?จากบิดาของเจ้า?พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพ
พระเจ้าได้ประทานพระคัมภีร์ให้เราทุกคนได้อ่าน นั้นคือจดหมายที่พระองค์ได้เขียนถึงมนุษย์ทุกคน..

เด็กชายตาบอด

เด็กชายตาบอด‏
เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึกโดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆ มีป้ายเขียนไว้ข้างตัวว่า “ ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย ” มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง แล้ววางลงที่เดิม เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย ในไม่ช้า…หมวกก็เต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า “ คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ ” “ คุณเขียนว่าอะไรครับ ”

ชายคนนั้นพูดว่า “ ฉันแค่เขียนความจริง ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง ” ฉันเขียนว่า “ วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้ ” ทั้งสองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า

ข้อสอนใจจากเรื่องนี้ จงขอบคุณในสิ่งที่คุณมี ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์ ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก
ยามเมื่อชีวิตมีเหตุผลเป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้ จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้ เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป
สิ่งที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม และยิ่งงดงามกว่านั้นที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขำขัน

เรื่องขำขัน

สุทัศนาพาหมาไปหาสัตวแพทย์
เมื่อหมอตรวจหมาแล้วเห็นว่ามีอาการปกติทุกอย่าง จึงถามเจ้าของหมาว่า “มันเป็นอะไรหรือครับ?”
“หมากัดเมียผมครับ” สุทัศนาตอบ
“อ้าว ทำไมไม่พาภรรยาของคุณมาล่ะ?” หมอถามงงๆ “จะได้ฉีดยากันพิษสุนัขบ้า”
“มันกัดไม่เข้าครับ”
“แล้วพาหมามาหาหมอทำไมครับ?”
สุทัศนาตอบว่า “อยากจะให้หมอช่วยลับเขี้ยวของมันให้คมกว่านี้ครับ”
???!!
ข้อพระคัมภีร์ : อฟ. ๕.๒๕ “ฝ่ายสามีจงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร”

เช้าอาทิตย์นี้ครูรวีวารศึกษาเริ่มต้นสอนเรื่องสวรรค์ เพื่อปลุกเร้าความสนใจของพวกเด็กๆ จึงตั้งคำถามขึ้นว่า
“ถ้าครูรับใช้พระเจ้าเยอะๆจะได้ขึ้นสวรรค์ไหม?
ดช.เอตอบว่า “ไม่ได้ครับ”
“ถ้าครูไปโบสถ์ทุกๆอาทิตย์จะได้ไปสวรรค์ไหม?”
ดญ.บีตอบว่า “ไม่ได้ค่ะ”
“งั้นถ้าครูขายทุกสิ่งทุกย่างแล้วยกเงินนั้นให้แก่โบสถ์ ครูจะเข้าสวรรค์ได้ไหม?”
ดญ.ซีตอบ “ไม่ได้หรอกค่ะ”
“อ้าว งั้นครูจะต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าสวรรค์ได้?”
เด็กทุกคนตอบพร้อมกัน “ครูต้องตายก่อน”

ประวิทย์ : ตั้งแต่ศิษยาภิบาลเทศนาบ่อยๆเรื่องการถ่อมใจลงรับใช้ผู้อื่นนี่ ไม่ค่อยเห็นหน้าคุณที่โบสถ์เลย มีอะไรไม่สบายใจอะปล่าว?
ประวัง : เฮ่อ น่าเบื่อว่ะ ไม่รู้ว่าใครใหญ่กว่าใคร
ประวิทย์ : อ้าว ตอนนี้พวกที่มีปัญหาทั้งหลาย ก็พากันถ่อมใจกุลีกุจอรีบออกมาบริการกันใหญ่แล้วนี่
ประวัง : นั่นแหละ เพราะอาจารย์ยกพระธรรมมัทธิว ๒๓.๑๑ ขึ้นมาเทศน์ว่า ผู้ใดที่อยากเป็นใหญ่ ผู้นั้นต้องเป็นผู้รับใช้ ตอนนี้พวกนั้นจึงแย่งกันรับใช้ เพราะอยากจะเป็นใหญ่กัน
ประวิทย์ : ??? !!

เคยมีเพลงลูกทุ่งสมัยก่อนโน้น สอนให้สามีที่แอบมีกิ๊กเป็นคนโกหกภรรยา มีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่า
“ทำก็อย่าให้รู้ รู้ก็อย่าให้เห็น เห็นก็อย่าให้จับได้ จับได้ก็อย่าไปรับ แต่ถ้าจะรับ รับเพียงครึ่งเดียว”
ภรรยานั้นแตกต่างจากผู้พิพากษา เพราะถ้าจำเลยยอมรับสารภาพ ศาลท่านจะเมตตาลดให้กึ่งหนึ่ง แต่สำหรับภรรยา ถ้าสามีสารภาพ บทลงโทษจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!
วิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ มีความซื่อสัตย์ต่อภรรยาของตน
ข้อพระคัมภีร์ : สภษ. ๕.๑๕-๑๘ “จงดื่มน้ำจากถังเก็บน้ำของเจ้า ดื่มน้ำไหลจากบ่อของเจ้าเอง...จงให้น้ำพุของเจ้าได้รับ
พร และเปรมปรีดิ์อยู่กับภรรยาคนที่เจ้าได้เมื่อยังหนุ่มนั้น”

ในสุสานมีพิธีฝังศพของหญิงคนหนึ่ง เมื่อศิษยาภิบาลได้ทำพิธีเสร็จแล้ว พวกสัปเหร่อก็ช่วยกันยกโลงศพลงหลุมที่ข้างกำแพง บังเอิญพวกเขายกเร็วไปหน่อยทำให้โลงศพกระแทกเข้ากับกำแพง และมีเสียงครางของผู้หญิงดังออกมา ทำให้พวกเขารีบเปิดโลงอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าเธอได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย
ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตอยู่ต่ออีกห้าปี ในวันที่ต้องฝังศพเธออีกครั้ง เมื่อศิษยาภิบาลทำพิธีเสร็จแล้ว พวกสัปเหร่อก็ช่วยกันยกโลงลงหลุม ทันใดนั้น สามีของเธอก็ร้องตะโกนขึ้นว่า “ระวัง ระวัง อย่าให้กระแทกกำแพงเด็ดขาด
ศิษยาภิบาลเฉยรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นว่า เช้าวันอาทิตย์นี้มีสมาชิกมาโบสถ์เพียงคนเดียว เขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงวัว อาจารย์รู้สึกท้อใจมากซึ่งแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน
“ผมเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์ดีครับ” สมาชิกขยับเข้าไปหาศิษยาภิบาล “ผมเป็นคนเลี้ยงวัว แม้ว่าจะมีเพียงตัวเดียว ผมก็ยังจะให้หญ้าแก่มัน”
ทันใดนั้น คำพูดของสมาชิกทำให้กำลังใจของศิษยาภิบาลเฉยมาเป็นกอง เขาออกไปยืนที่หลังธรรมาสน์และเทศนาพระวจนะของพระเจ้า ร้อนรนและจริงจัง จนกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่ง แต่ยังไม่มีท่าทีว่าอาจารย์จะจบคำเทศนาลงอย่างง่ายๆ
สมาชิกจึงยกมือขึ้นขัดจังหวะ “อาจารย์ครับ ถ้าผมมีวัวอยู่เพียงตัวเดียว ผมรู้ว่าจะต้องให้หญ้าแก่มันเท่าไหร่ เพราะให้มากไปมันจะไม่กิน และแถมจะเหยียบย่ำอีกด้วย”
ศิษยาภิบาลเฉย “???!!”
ข้อพระคัมภีร์ : อฟ. ๕.๑๕ “อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา”

ขณะที่ผู้คุมร่างใหญ่เดินส่ายอาดๆไปท่ามกลางเหล่านักโทษคดีอุจฉกรรจ์ ที่นั่งยองๆอยู่บนพื้นสนามหน้าโรงนอน พอดีสายตาก็เหลือบไปเจอกับนักโทษคนหนึ่ง หน้าตาดี ท่าทางเรียบร้อย ไม่เหมือนกับพวกวายร้ายอื่นๆ
“หน้าตาอย่างเอ็งนี่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่เลย” ผู้คุมพูดพร้อมกับชี้กระบองไปที่หน้า “โดนข้อหาอะไรล่ะเรา?”
“ขับรถช้าครับ” นักโทษตอบ
ผู้คุมมีสีหน้างงๆ “เฮ้ย ขับรถช้ามันไม่เห็นผิดกฎหมายเลยนะ”
นักโทษตอบว่า “ถ้าผมขับรถเร็วก็กว่านี้ก็คงไม่ถูกจับในข้อหาปล้นธนาคารครับ”
???!!


ศิษยาภิบาลอเนกไปยี่ยมสมาชิกผู้อาวุโส ที่นอนผะงาบๆอยู่บนเตียงในห้อง ICU มีสายระโยงระยางเต็มไปหมดที่ศีรษะ ที่จมูก ที่แขนและที่บริเวณท้อง คนป่วยทำท่าอึกอัดเหมือนจะพูดอะไร จึงทำสัญญาณและกวักมือเรียกลูกสาวคนเล็ก เธอรีบคว้าปากกาและกระดาษให้ผู้เป็นพ่อ
ชายชราเขียนขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นส่งให้แก่ศิษยาภิบาล อาจารย์อเนกรับมาแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อทันที
ในวันฝังศพที่สุสาน อาจารย์อเนกก้าวขึ้นไปยืนหน้าที่ประชุมพร้อมกับพูดว่า “ก่อนที่คุณพ่อจะเสียชีวิต ท่านได้เขียนข้อความบางอย่าง ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นความลับและเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย ผมจึงรีบเอาใส่กระเป๋าเสื้อโดยที่ยังไม่ได้อ่านเลย...วันนี้เราจะมาอ่านพร้อมๆกันนะครับ
พอคลี่กระดาษออก เขาก็พบข้อความที่เขียนว่า
“กรุณาถอยไปหน่อย อาจารย์กำลังเหยียบสายออกซิเจนอยู่ ผมหายใจไม่ออก


หญิงสาวพาร่างอันมีส่วนเกินข้าไปในคลีนิคเพื่อความงามแห่งหนึ่ง เธอต้องนั่งรอนานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้พบกับแพทย์เฉพาะทางที่มีชื่อเสียง
“หมออยากจะแนะนำวิธีออกกำลังกายที่ได้ผลดีที่สุด” นายแพทย์เอ่ยขึ้นเมื่อมองเห็นร่างเทพธิดาช้าง
คนไข้ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณหมอ ดิฉันเคยไปสถานฟิตเนส เคยกินยาลดความอ้วน และเคยไปให้หมอเลาะไขมันออก แต่ไม่นานมันก็กลับมาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ” “หมออยากจะแนะนำวิธีลดความอ้วนภายในเวลาสองสัปดาห์”
“ทำยังไงคะ?” หมอส่ายหน้าไปมา...พร้อมกับบอกคนไข้ว่า “ทำเพียงแค่นี้แหละ” (ส่ายหน้าไปมา)
“แค่ส่ายหน้าไปมานี่นะหรือคะ” เธอถามด้วยความฉงน “ทำไมง่ายจัง”
“ใช่ ง่ายๆแบบนี้แหละ เวลาเห็นอาหารมันๆก็ส่ายหน้า เห็นของหวานๆก็ส่ายหน้า” หมอว่า
หญิงสาว “???!!”

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใครคือคนที่คุณรักที่สุด

ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปีวันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
ของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน‘ ใครขโมยเงินไป’ พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
‘ ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ’พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้….แล้วพูดว่า‘ ผมขโมยเองครับ’ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อยพ่อนั่งลงบนเก้าอี้
และด่าว่าน้องชายของฉัน‘ ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย’คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า ‘ พี่ครับไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว’ ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี… เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ‘ ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ’ แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อได้พูดว่า ‘ แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน’ ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า ‘ ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว’ พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่‘ ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้’ คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน….เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า‘ ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้’
แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ ……. วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ‘ พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ….ผมจะไปหางานทำ…แล้วจะส่งเงินมาให้พี่’ ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า …….ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ….. ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ……. ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า ‘ มีชาวบ้านมาหาเธอ…อยู่ข้างนอกแน่ะ’ ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ฉันถามเขาว่า‘ ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ’น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า‘ ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้…ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี’ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตามจากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า‘ ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง’ หมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า ‘ แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกคะ’แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า ‘ แม่ไม่ได้จ้างหรอก…น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ’ ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด ‘ เจ็บมากไหม’ ฉันถาม ‘ ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ…’ น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง ‘ เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ’ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี… หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน. แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป …เขาบอกกับฉันว่า ‘ พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง’ สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัทแต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า ‘ ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ…เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้! าง’ คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
‘ พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด’ น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ….. ฉันบอกกับน้องว่า ‘ แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…’
‘ ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ’ น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี… เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขา! ได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า ‘ ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้’ น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล ‘ พี่สาวของผมครับ’ ….. และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ ‘ ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียน…และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ……. นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ’ เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ……. ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ’ ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง… จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง . ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม จบบริบูรณ์….

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า ‘ ซัมซุง’

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำคม

"ความเชื่อเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้า คุณมองไม่เห็นมัน แต่คุณมองเห็นแสงไฟ"
Faith is like electricity. You can't see it, but you can see the light.

การเป็นเหมือนพระคริสต์คือการเป็นคริสเตียน"
To be like Christ is to be a Christian.-Daniel Webster.

"ข้าพเจ้าเชื่อในคริสตศาสนาเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าดวงตะวันขึ้นแล้ว
ไม่ใช่เพียงเพราะข้าพเจ้าได้เห็นมัน
แต่เพราะว่าโดยมันข้าพเจ้าจึงได้เห็นสิ่งสารพัด" ซี.เอส.หลุยส์
I believe in Christianity as I believe that the sun has risen,
not only because I see it,

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไม่เกี่ยว

นิทานเรื่องไม่เกี่ยว
โดย อาจารย์ พิษณุ อรรฆภิญญ์
หนูตัวหนึ่งแอบมองลอดรอยแตกของกำแพงเพื่อดูว่า ชาวนากับภรรยาของเขาแกะห่ออะไร “จะเป็นอาหารอะไรหนอ” เจ้าหนูสงสัย แล้วมันแทบล้มทั้งยืน เมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคือ ‘กับดักหนู’ มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนไปที่ทุ่งนาแล้วส่งเสียงร้องเตือน“มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!”
แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และคุ้ยเขี่ยไปมามันผงกหัวขึ้นและพูดว่า “คุณหนูนี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ากวนใจกันเลย”เจ้าหนูวิ่งไปบอกกับหมูว่า “มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!” หมูเห็นใจ แต่ก็พูดว่า “ฉันขอโทษนะคุณหนู แต่ฉันคงทำได้แค่อธิษฐานเท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะอธิษฐานให้เธอด้วย” เจ้าหนูวิ่งไปหาวัว และพูดว่า“มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน!”
วัวตอบว่า “โธ่! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่”
เจ้าหนูจึงกลับเข้าบ้านนอนลงและเศร้าใจเหลือเกินที่จะต้องเผชิญหน้ากับดักหนูเพียงลำพัง กลางดึกคืนนั้น มีเสียงดังก้องไปทั้งบ้าน ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันแล้ว ภรรยาของชาวนารีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับ ในความมืดนั้น เธอไม่เห็นว่า มีงูพิษถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้ งูกัดภรรยาของชาวนา เขาจึงรีบนำเธอส่งโรงพยาบาล ตอนกลับบ้านเธอยังมีไข้สูงอยู่ ใครๆก็รู้ว่าต้องพยาบาลคนป่วยด้วยซุปไก่
ดังนั้นชาวนาจึงหยิบขวานเดินไปที่ทุ่งฆ่าไก่แล้วหิ้วกลับมาบ้านเพื่อทำซุป แต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้น เพื่อนฝูงและญาติต่างมาเยี่ยมดูใจ ชาวนาจึงฆ่าหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงพวกเขา ภรรยาของชาวนาก็ยังไม่หาย ในที่สุดเธอก็เสียชีวิตลง ผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอ ชาวนาจึงฆ่าวัวเพื่อให้ได้เนื้อมากพอมาเลี้ยงแขก
เจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพงด้วยความเสียใจสุดแสน คราวหน้าหากคุณรู้ว่าใครสักคนกำลังเผชิญปัญหา และคิดว่าไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย จำไว้นะว่า เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งถูกคุกคาม เราทุกคนล้วนเกี่ยวพันกันอยู่ในการเดินทางที่เรียกว่า “ชีวิต” เราต้องคอยเฝ้าดูแลกันและกันและพยายามให้กำลังใจ จำไว้เถอะ เราแต่ละคนก็คือเส้นด้ายเส้นสำคัญบนผืนพรมของผู้อื่น นั่นเป็นเหตุผลที่ชีวิตของเราถูกถักทอเข้าไว้ด้วยกัน !

นมแก้วนั้น

นมแก้วนั้น

มีเรื่องเล่าว่ามีเด็กชายคนหนึ่งซึ่งต้องหาเงินเรียนหนังสือเองด้วยการออกขายของตามบ้าน วันหนึ่งเมื่อเขารู้สึกหิวและก็พบว่าเงินที่มีติดตัวอยู่นั้นเป็นเพียงเศษเหรียญอันหนึ่งเท่านั้น ไม่พอที่จะซื้ออาหารเพื่อบรรเทาความหิวของเขาได้ เขาจึงตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงบ้านถัดไปจะลองขออาหารจากเจ้าของบ้านนั้น แต่เมื่อเจ้าของบ้านสาวสวยมาเปิดประตู เขาก็ไม่กล้าขออาหารกลับขอเพียงน้ำดื่มเพียงแก้วเดียว


เมื่อเจ้าของบ้านเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขาต้องหิวข้าวอย่างแน่นอน จึงให้นมแก้วใหญ่แก่เขา เด็กคนนั้นค่อยๆดื่มนมแก้วนั้นจนหมด และถามว่า “ผมเป็นหนี้คุณเท่าไรครับ”

“หนูไม่ได้เป็นหนี้ฉันหรอก คุณแม่สอนว่าไม่ให้รับเงินเป็นค่าตอบแทนสำหรับความเมตตากรุณาที่หยิบยื่นให้แก่คนอื่น” หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เขาจึงกล่าวขอบคุณหญิงสาวคนนั้นอย่างนอบน้อม และเมื่อโฮเวิร์ด เคลลีเดินจากบ้านนั้นไป เขาไม่เพียงแต่รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นเท่านั้น แต่ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและในมนุษย์ก็มีมากขึ้นด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้มันหมดไปนานแล้ว

หลายปีต่อมาหญิงสาวคนนั้นป่วยหนัก แพทย์ท้องถิ่นไม่สามารถหาทางเยี่ยวยาเธอให้หายได้ เธอถูกส่งไปที่โรงพยายาลในเมือง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาถูกเรียกตัวให้มาวินิจฉัยอาการป่วยของเธอซึ่งไม่ค่อยมีคนเป็นอย่างจริงจัง และนายแพทย์โฮเวิร์ด เคลลีก็เป็นคนหนึ่งในทีมงานนั้น เมื่อเขาได้ยินว่าเธอมาจากเมืองอะไร นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววประหลาด ทันใดนั้นเองเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องพักของเธอ

เมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้น เขาจำเธอได้ทันที แล้วเขาก็เดินกลับมาที่ห้องทำงาน และตั้งใจว่าจะหาทางช่วยชีวิตของเธอจนสุดความสามารถทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็เอาใจใส่คนไข้รายนี้เป็นพิเศษ หลังจากที่ปล้ำสู้อยู่นาน ในที่สุดเธอก็หาย นายแพทย์โฮเวิร์ดขอให้แผนกบัญชีส่งใบเรียกเก็บเงินให้เขาเพื่อตรวจดูความถูกต้อง เขาตรวจดูและเขียนข้อความไว้ที่มุมหนึ่งของใบเรียกเก็บเงินนั้น แล้วจึงให้พนักงานส่งไปให้เธอ เมื่อเธอได้รับใบเรียกเก็บเงิน เธอไม่กล้าที่จะเปิดออกดูเพราะรู้ว่าคงเป็นยอดเงินมหาศาลและเธอคงต้องใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อหาเงินจำนวนนั้นมา แต่ในที่สุดเมื่อรวบรวมความกล้าได้แล้วก็เปิดออกดู และข้อความที่มุมของกระดาษแผ่นนั้นก็เตะตาของเธอ

ข้อความนั้นเขียนว่า...“ชำระเรียบร้อยแล้วด้วยนมแก้วหนึ่ง”

ลงชื่อ นายแพทย์โฮเวิร์ด เคลลี

น้ำตาแห่งความปีติยินดีไหลอาบแก้มเมื่อเธออธิษฐานว่า “ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ปรากฏด้วยใจและมือของมนุษย์”
ท่านคงไม่ปฏิเสธนะว่าอิทธิพลของความรักยิ่งใหญ่มาก (ดู 1 โครินธ์ 13:13)

ท่านเคยหยิบยื่นความรักให้แก่ใครบ้างหรือเปล่า? อย่าดูหมิ่นสิ่งเล็กน้อย ใครจะคิดว่านมเพียงแก้วเดียวจะมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเด็กเล็กๆคนหนึ่งได้มากเท่านี้ แน่ใจว่าเมื่อหญิงสาวคนนั้นให้นมแก้วนั้นแก่เด็กชายโฮเวิร์ด เคลลี เธอคงไม่รู้ว่าการกระทำของเธอมีความหมายต่อจิตวิญญาณของเขามากเพียงใด เธอได้เป็นพยานที่ดีถึงพระเยซูคริสต์ด้วยการกระทำของเธอ และด้วยนมแก้วนั้นที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากนักสามารถหล่อหลอมจิตใจของเด็กเล็กๆคนหนึ่งให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเขาก็ได้สำแดงความรักนั้นต่อคนอื่นๆ เพื่อพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับเกียรติ