วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำสั่งเสีย

จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์มหาราช
มหาบุรุษทุกคนมีความปรารถนาของตัวเองและทุกคนอยากให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง
แม้ยังไม่สมปรารถนาขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
มหาบุรุษทั้งหลายก็อยากจะเห็นความปรารถนาของตัวเองเป็นจริง แม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น มหาบุรุษแต่ละคนจึงมีคำสั่งเสียถึงคนที่อยู่ข้างหลังแตกต่างกันไป

ฟาโรห์ กษัตริย์อียิปต์เชื่อว่า หลังจากตายไปแล้ว วิญญาณของเขาจะกลับมามีชีวิตใหม่ในร่างเดิมอีก
และเขาปรารถนาที่จะกลับมาเสวยสุขในโลกนี้ ดังนั้น
เขาจึงสะสมทรัพย์สินไว้มากมายและสั่งเสียคนของเขาให้เก็บทรัพย์สินและรักษาศพของเขาไว้ในสภาพของมัมมี่

แต่จนทุกวันนี้ วิญญาณของเขาก็ยังไม่กลับมาสู่ร่างเดิม
มิหนำซ้ำทรัพย์สมบัติและมัมมี่ของเขาซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้พีระมิดยังถูกค้นพบและถูกนำมาตั้งแสดงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของโลก

หลังสมัยฟาโรห์ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โลกก็มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขา
โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์ เพราะเขาเป็นผู้สร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลกยุคโบราณ

แม้จะเป็นผู้พิชิตดินแดนได้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ในบั้นปลายของชีวิต
เขาก็ถูกโรคภัยไข้เจ็บพิชิตสังขารจนต้องนอนราบคาบอยู่บนเตียงนับเดือน
เมื่อความตายย่างกรายเข้ามา
เขารู้ว่าแสนยานุภาพของกองทหารที่เขาสร้างไว้ไม่สามารถขัดขวางทูตมรณะที่จะมากระชากวิญญาณออกไปจากร่างของเขาได้

อาจเป็นเพราะกาลเวลาหรือวุฒิภาวะก็ได้ที่ทำให้จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตมากกว่าฟาโรห์
เขาเรียกเสนาบดีและขุนศึกคู่ใจทั้งหลายมาพบและสั่งเสียคนเหล่านั้นให้ทำตามความปรารถนาของเขาสามประการ
ดังนี้

-ขอให้แพทย์ผู้รักษาเขาเป็นผู้แบกแคร่หามศพของเขา

-ขณะที่แบกศพของเขาไปยังสุสาน ขอให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง
และอัญมณีต่างๆที่เขาสะสมไว้ตลอดทาง

-ขอให้ปล่อยมือสองข้างของเขาห้อยไว้ข้างแคร่หามศพ

ขุนศึกคู่ใจของเขาคุกเข่าลงและดึงมือของเขามาจุมพิตด้วยความเศร้าใจอย่างสุดซึ้งพร้อมกับรับปากว่า
จะทำตามที่เขาสั่งเสียไว้ทุกประการ แต่ขุนศึกผู้นั้นถามจักรพรรดิด้วยความอยากรู้ว่า
มีเหตุผลอะไรที่สั่งเสียให้ทำเช่นนั้น

จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเหตุผลให้ขุนศึกและเสนาบดีที่อยู่รอบข้างได้รู้ถึงความปรารถนาของเขาว่า

“ที่ฉันต้องการให้แพทย์ผู้รักษาฉันเป็นผู้แบกโลงศพของฉัน ก็เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายตระหนักว่า
ไม่มีหมอคนใดสามารถรักษาคนป่วยได้จริง
พวกหมอเหล่านั้นไม่มีพลังอำนาจใดๆที่จะยื้อชีวิตคนไข้ให้พ้นจากความตายได้ ฉะนั้น
ขออย่ายื้อชีวิตของใครให้คงอยู่ตลอดไปเลย

“เรื่องที่ฉันอยากให้โปรยทรัพย์สิน เงินทอง
และอัญมณีบนเส้นทางไปสู่สุสานก็เพื่อจะบอกผู้คนทั้งหลายว่า...แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวของแก้วแหวนเงินทองซึ่งฉันหามาได้
ฉันก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้

“ที่ฉันขอให้ปล่อยมือทั้งสองข้างของฉันห้อยไว้ข้างแคร่
ก็เพื่อบอกให้ผู้คนได้รู้ว่าฉันมามือเปล่ายังโลกนี้และฉันก็จากโลกนี้ไปอย่างมือเปล่า”

(ตัดตอนมาจาก คอลัมภ์สันติธรรม จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้วันสุขปีที่ 7 ฉบับที่ 315 ประจำวัน
จันทร์ ที่ 20 มิถุนายน 2011
โดย บรรจง บินกาซัน)