วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทความจากนาซ่า

บทความ โลกจะล่มสลายในปี 2012 เรื่องจริง จาก นาซ่า

เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASAได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการ พลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์

แต่จากการศึกษา ร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่ เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้ สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

การ พลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์ หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

โดย ปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวง อาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ
'ฮา รัลด์ เลสช์' (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย 'มิวนิค' ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ 'ฮารัลด์ เลสช์' สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศแต่ทะว่าโลกเรา นั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียร เหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่ เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุ สุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้าง สนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

สิ่ง ที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่ เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง
คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อ โลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................

เอกสาร เซอร์ไอแซค

เอกสารลับ เซอร์ไอแซค นิวตัน

หลาย สิ่ง หลายอย่างที่ยอดอัจฉริยะนักวิทยาศาสตร์โลก "เซอร์ไอแซค นิวตัน" คิดและพูดเอาไว้ล้วนเป็นความจริง พิสูจน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีชื่อเข้าใจยากอย่าง ทวินาม ไฮเปอร์โบลา หรือการคิดค้น "กฎแห่งการเคลื่อนที่" อันลือลั่น ซึ่งเรียกกันสั้นๆ ว่า "กฎ 3 ข้อของนิวตัน" ไปจนถึงทฤษฎีที่คนทั่วโลกทั้งร่ำเรียน ได้ยินติดหูกันมานานหลายร้อยปี เช่น กฎแรงโน้มถ่วงและแคลคูลัส

วันนี้ถ้า "นิวตัน" จะกระตุกเตือนบอกผ่านเอกสารบันทึกเก่าแก่..
โลกต้องถึงกาลอวสาน แตกดับลงไปภายในอีก 53 ปี..
คุณจะเชื่อหรือไม่..!?

เซอร์ ไอแซค นิวตัน ชาวอังกฤษ อัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ 17 ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์หลายสาขา ทั้งฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ จากโลกนี้ไปแล้ว 280 ปี แต่เอกสาร รวมทั้งบันทึกการค้นคว้า ความนึกคิดต่างๆ ยังคงได้รับการเก็บรักษาอย่างดี ส่วนหนึ่งถูกเก็บอยู่ในตู้นิรภัยของหอสมุดแห่งชาติ กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล

ปัจจุบัน หอสมุดแห่งชาติอิสราเอล ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฮิบรู เยรูซาเล็ม นำ "เอกสารนิวตัน : นิวตัน เปเปอร์ส" ตัวจริงที่เก็บรักษาไว้มาจัดนิทรรศการ "ความลับของนิวตัน" เปิดแสดงให้สาธารณชนได้เห็นกับตาตนเองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ภายหลังจากก่อนหน้านี้ มีเพียงนักวิชาการกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่มีสิทธิได้เห็นเอกสารเหล่านี้

"เอกสารนิวตัน" คงอยู่ผ่านความผันแปรแห่งยุคสมัยนับร้อยปี เปลี่ยนมือจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น กระทั่งตกมาอยู่ในความดูแลของหอสมุดอิสราเอล ตั้งแต่ปีค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ศาสตราจารย์ยามินา เบน เมนาเชม จากภาควิชาปรัชญา ม.ฮิบรู ผู้ทำหน้าที่บอกเล่าความเป็นมาของเอกสารชุดนี้ กล่าวว่า

หลัก ที่นิวตันใช้พยากรณ์ "วันสิ้นโลก" หรือ "วันโลกแตก" และบันทึกไว้ในเอกสารเมื่อปีค.ศ. 1704 (พ.ศ. 2247) นั้น ไม่ได้ใช้หลักตรรกะทางคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ แต่เป็นการถอดรหัส ไขปริศนาถ้อยคำที่เขียนอยู่ใน "พระธรรมดาเนียล" ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (ไบเบิล)

โดย เฉพาะ อย่างยิ่งการถอดรหัสพระธรรมดาเนียล บทที่ 12 ซึ่งนิวตันตีความ ว่า โลกจะถึงคราวดับสูญภายหลังจาก "จักรวรรดิโรมัน" ก่อตั้งครบ 1,260 ปีโดยประมาณ เมื่อคำนวณดูแล้วจึงเท่ากับ โลกมนุษย์จะต้องแตกในปีค.ศ. 2060 (พ.ศ. 2603) หรือภายในเวลาอีกแค่ 53 ปีนับจากนี้

"โลก อาจดับสูญ หลังจากนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นถึงเหตุผลใดที่โลกจะพบจุดจบเร็วกว่านั้นเช่นกัน "สิ่งที่ข้าพเจ้าอ้างถึงไปนี้มิได้หมายมั่นจะยืนยันว่าวันสิ้นโลกจะมาถึง เมื่อไร "แต่ทำไปเพื่อต้องการหยุดกลุ่มคนเพ้อฝันที่ชอบทึกทักทำนายวันสิ้นโลกขึ้นมาเองอยู่บ่อยๆ

" กระทั่ง ทำให้คำทำนายอันศักดิ์สิทธิ์ต้องเสื่อมเสียไร้ความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปตาม คำทำนายผิดๆ ทั้งปวง" นิวตัน เขียนถึงเหตุผลที่ตัดสินใจพยากรณ์วันโลกแตกด้วยตนเอง

ศ.ยา มินา อธิบายว่า ในเอกสารยังมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า นิวตันมีความเชื่อในศาสนาอย่างลึกซึ้ง แม้จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ตามหลักแล้วจะเชื่อเฉพาะในสิ่งที่พิสูจน์ได้

โดยบันทึกหัวข้อหนึ่ง นิวตันศึกษารายละเอียดโครงสร้างของวิหารยิวในเยรูซาเล็มอย่างเจาะลึกทุกมิติ
เพราะ เชื่อว่าวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนโครงสร้างจักรวาลอันไพศาล จากการตรวจสอบเอกสารพบพื้นเพความมุ่งมั่นทางวิทยาศาสตร์ของนิวตัน มีแรงผลักดันมาจากศาสนานั่นเอง นั่นเพราะเขาต้องการใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ว่าพระเจ้า ทรงทำอะไรกับโลกของเราบ้าง

ตามความเข้าใจของนิวตัน การเข้าถึงพระองค์จึงสามารถกระทำได้ผ่านการศึกษาธรรมชาติและพระคัมภีร์ เพื่อหาหนทางเข้าถึงสัญญาณที่พระองค์ทิ้งเอาไว้ "นิวตันไม่เชื่อในเรื่องของ ตรีเอกภาพ เขาเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น แม้นพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรแห่งพระเจ้า แต่พระเยซูก็ไม่ใช่พระเจ้า..
"นิวตันไม่แสดงความคิดนี้ต่อสาธารณชน เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ศาสนจักรเข้ามาขัดขวางการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของเขา..
"ในยุคสมัยนิวตัน มีผู้คนพูดถึงวันสิ้นโลกกันอย่างกว้างขวาง..

" นิวตันจึงมีความ คิดว่าพระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับวันสิ้นโลกเอาไว้แล้ว มนุษย์ไม่มีอำนาจจะไปเปลี่ยนแปลงหรือพยากรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น" ศ.ยามินา กล่าว